top of page

ผลการค้นหา

พบ 53 ผลลัพธ์เมื่อไม่ระบุค่าการค้นหา

  • นิติบุคคลจะทำอย่างไร เมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลาง

    ความสำคัญของค่าส่วนกลางและผลกระทบเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ค่าส่วนกลาง คือค่าใช้จ่ายที่เจ้าของร่วมในโครงการที่อยู่อาศัยต้องรับผิดชอบตามสัดส่วนกรรมสิทธิ์ร่วม เพื่อนำไปบริหารจัดการ ดูแลทรัพย์ส่วนกลาง และรักษาสาธารณูปโภคให้โครงการมีความเรียบร้อย ปลอดภัย และน่าอยู่อาศัย เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำไฟ และค่าซ่อมแซมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หากมีเจ้าของร่วมไม่ชำระค่าส่วนกลางจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของงบประมาณ การดูแลรักษาจะขาดประสิทธิภาพ ทรัพย์สินส่วนกลางเสื่อมโทรม ระบบรักษาความปลอดภัยอ่อนแอ และมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในโครงการลดลง กระทบต่อผู้อยู่อาศัยทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่จ่ายเงินตรงเวลา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นิติบุคคลต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในการจัดเก็บและบังคับใช้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชุมชนโดยรวม นิติบุคคลจะทำอย่างไร เมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลาง หน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าของร่วม เจ้าของร่วมมีหน้าที่ตามกฎหมายในการชำระค่าส่วนกลางตามอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ของตน ไม่สามารถอ้างเหตุผลส่วนตัวเพื่อปฏิเสธการชำระได้ กฎหมายให้อำนาจแก่นิติบุคคลทั้งในคอนโดมิเนียม (ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522) และหมู่บ้านจัดสรร (ตาม พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2558) ในการเรียกเก็บค่าส่วนกลาง พร้อมบทลงโทษหากค้างชำระ เช่น การคิดดอกเบี้ย การระงับสิทธิ์ใช้ทรัพย์ส่วนกลาง และการไม่ออกใบปลอดหนี้ นอกจากนี้ นิติบุคคลยังมี "บุริมสิทธิ" เหนือทรัพย์สินของผู้ค้างชำระ ทำให้สามารถเรียกหนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและประโยชน์ส่วนรวมของชุมชน บทลงโทษเมื่อไม่จ่ายค่าส่วนกลาง: นิติบุคคลอาคารชุด vs นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม (ตาม พ.ร.บ. อาคารชุด) ค้างชำระไม่เกิน 6 เดือน เสียเงินเพิ่มไม่เกิน 12% ต่อปีของยอดที่ค้าง ค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เสียเงินเพิ่มไม่เกิน 20% ต่อปี, อาจถูกระงับการใช้บริการส่วนกลาง, และนิติบุคคลจะไม่ "ออกใบปลอดหนี้" ทำให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์หรือขายได้ หมู่บ้านจัดสรร (ตาม พ.ร.บ. จัดสรรที่ดิน) ค้างชำระ: เสียค่าปรับ 10-15% ของยอดที่ต้องชำระพร้อมดอกเบี้ย ค้างชำระตั้งแต่ 3 เดือน: อาจถูกระงับการใช้บริการหรือพื้นที่ส่วนกลาง ค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป: นิติบุคคลมีอำนาจระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (โอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายไม่ได้) อายุความในการฟ้องร้องค่าส่วนกลาง นิติบุคคลต้องเร่งติดตามหนี้ค่าส่วนกลางภายในอายุความ 5 ปี หากปล่อยให้เกินจะสูญเสียสิทธิในการเรียกเก็บ ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของโครงการ และอาจทำให้ผู้จัดการหรือคณะกรรมการต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญาในกรณีที่เพิกเฉยหรือละเลยหน้าที่ โดยเฉพาะหากมีเจตนาเอื้อประโยชน์ให้บางราย การติดตามหนี้อย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของนิติบุคคลและลดความเสี่ยงทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดหรือหมู่บ้านจัดสรร อายุความในการฟ้องร้องเรียกเก็บค่าส่วนกลางคือ 5 ปี นับจากวันที่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งนิติบุคคลจะต้องดำเนินการภายในกรอบเวลานี้ การดำเนินการของนิติบุคคลเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลาง เมื่อลูกบ้านไม่ชำระค่าส่วนกลาง นิติบุคคลควรดำเนินการเป็นขั้นตอน เริ่มจากการส่งหนังสือทวงถาม แจ้งยอดหนี้ ดอกเบี้ย และค่าปรับ พร้อมหลักฐานการส่ง หากยังไม่ชำระ อาจใช้มาตรการเบื้องต้น เช่น ระงับสิทธิการใช้พื้นที่ส่วนกลาง หรือไม่ออกใบปลอดหนี้เพื่อขัดขวางการโอนกรรมสิทธิ์ หากยังไม่ได้ผล อาจเข้าสู่ขั้นตอนฟ้องร้อง โดยต้องรวบรวมเอกสารครบถ้วนและปรึกษาทนาย ความเสียหายจากการฟ้องอาจสูงกว่ายอดหนี้ จึงควรระบุไว้ในข้อบังคับให้นำค่าใช้จ่ายในการติดตามหนี้ไปเรียกคืนจากเจ้าของร่วมผู้ค้างชำระได้ และหากศาลตัดสินแล้วไม่ชำระ นิติบุคคลสามารถบังคับคดี ยึดทรัพย์ และขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ การบริหารหนี้อย่างรัดกุมและถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของชุมชน การรักษาสิทธิและหน้าที่เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนในโครงการ การที่ลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการบริหารจัดการโครงการและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกคน. นิติบุคคลในฐานะผู้ดูแลทรัพย์ส่วนกลางและผู้บริหารชุมชน มีเครื่องมือทางกฎหมายที่ชัดเจน ทั้งบทลงโทษและมาตรการบังคับใช้ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติอาคารชุดและพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน เพื่อจัดการกับปัญหานี้. สิ่งสำคัญคือนิติบุคคลต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และใช้มาตรการที่เหมาะสมตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้หนี้ค้างชำระขาดอายุความและส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของโครงการ การป้องกันปัญหาการไม่ชำระค่าส่วนกลางที่ดีที่สุดคือการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ลูกบ้านเกี่ยวกับความสำคัญของค่าส่วนกลาง และบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส การสื่อสารที่ชัดเจน การวางแผนงบประมาณที่รัดกุม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและติดตามหนี้ รวมถึงการปรับปรุงข้อบังคับให้ครอบคลุม จะช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจและลดข้อโต้แย้ง การจ่ายค่าส่วนกลางเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้โครงการได้รับการดูแลรักษาอย่างดี มีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ มีไฟฟ้าส่องสว่าง มีสวนหย่อมและถนนที่น่ามอง มีการจัดเก็บขยะที่ตรงเวลา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตร่วมกัน การรักษาสิทธิและหน้าที่ในการชำระค่าส่วนกลางจึงเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพในโครงการที่อยู่อาศัย FAQ ค่าส่วนกลางคืออะไร? ค่าส่วนกลาง คือค่าใช้จ่ายที่นิติบุคคลของโครงการที่อยู่อาศัยเรียกเก็บจากเจ้าของร่วมทุกคน เพื่อใช้ในการบริหารจัดการโครงการ การบำรุงรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และการให้บริการสาธารณูปโภคต่างๆ ผลกระทบเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางคืออะไร? การไม่ชำระค่าส่วนกลางส่งผลกระทบต่อทั้งโครงการและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกคน เช่น งบประมาณในการดูแลรักษาโครงการจะขาดสภาพคล่อง ทรัพย์สินส่วนกลางอาจชำรุดทรุดโทรม และระบบรักษาความปลอดภัยอาจเกิดความบกพร่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บค่าส่วนกลางมีอะไรบ้าง? กฎหมายไทยได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าของร่วมในการชำระค่าส่วนกลางไว้อย่างชัดเจน เช่น พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 บทลงโทษเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางมีอะไรบ้าง? บทลงโทษเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางมีหลายระดับ เช่น เสียเงินเพิ่ม, ไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมใหญ่, อาจถูกระงับการใช้บริการส่วนรวมหรือทรัพย์ส่วนกลาง และอาจถูกส่งเรื่องดำเนินการทางกฎหมาย ขั้นตอนการดำเนินการของนิติบุคคลเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางมีอะไรบ้าง? ขั้นตอนการดำเนินการของนิติบุคคลเมื่อลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางมีหลายขั้นตอน เช่น การแจ้งเตือนและทวงถามหนี้, การระงับการใช้บริการและทรัพย์ส่วนกลาง, การไม่ออก 'ใบปลอดหนี้', และการดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อบังคับชำระหนี้

  • ยื่นภาษีนิติบุคคล: ขั้นตอน เอกสาร และช่องทางการยื่นภาษี

    ยื่นภาษี นิติบุคคล หมายถึงการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรตามกฎหมาย แบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ ภาษีกลางปี (แบบ ภ.ง.ด.51) และภาษีประจำปี (แบบ ภ.ง.ด.50 ) ปัจจุบัน กรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้เสียภาษียื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ ( e-Filing ) เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดการใช้กระดาษ ดังนั้น ผู้เสียภาษีจึงควรเตรียมเอกสารและข้อมูลให้พร้อมก่อนยื่นผ่านระบบดังกล่าว ยื่นภาษีนิติบุคคล: ขั้นตอน เอกสาร และช่องทางการยื่นภาษี เอกสารและข้อมูลที่ต้องเตรียม  ก่อนยื่นแบบควรรวบรวมข้อมูลบัญชีและเอกสารสำคัญ ได้แก่ งบการเงิน  เช่น งบกำไร-ขาดทุน งบดุล งบกระแสเงินสด ที่ผ่านการตรวจสอบบัญชี (ถ้ามี) บันทึกรายการบัญชี  เช่น บัญชีรายรับ-รายจ่าย, สมุดรายวัน, สมุดบัญชีแยกประเภท รวมถึงใบเสร็จรับ-จ่าย หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) รายงานผู้สอบบัญชี  (หนังสือรับรองงบการเงิน) – หากเป็นบริษัทที่มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีตามกฎหมาย แบบบัญชีผู้ถือหุ้น (บอจ. 5)  – รายงานรายชื่อผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนล่าสุด เอกสารอื่นๆ  เช่น ใบสำคัญทุน รายการทรัพย์สิน ค่าเสื่อมราคา และหลักฐานคำนวณภาษี (จากบัญชีไปสู่ฐานภาษี) เป็นต้น ขั้นตอนการยื่นภาษีนิติบุคคล สามารถสรุปเป็นขั้นตอนหลักดังนี้ จัดทำบัญชีและประเมินกำไรสุทธิ:  จัดทำบัญชีรายได้ ค่าใช้จ่าย และงบการเงินของกิจการให้ครบถ้วน เพื่อคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีของแต่ละงวด ยื่นภาษีกลางปี (ภ.ง.ด.51):  สำหรับช่วงครึ่งปีบัญชีแรก ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของงวด 6 เดือนแรก เช่น หากงบสิ้นสุด 30 มิ.ย. ต้องยื่นภายใน 31 ส.ค. (แบบออนไลน์ขยายเพิ่มได้อีก 8 วัน) ชำระภาษีกลางปี:  ชำระภาษีเบื้องต้น (ประมาณการ) ตามผลกำไรครึ่งปี หากจ่ายใน ภ.ง.ด.51 แล้ว ต้องจ่ายอย่างน้อย 50% ของภาษีที่คาดว่าจะต้องจ่ายประจำปี จัดทำงบการเงินสิ้นปี:  เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี เตรียมงบการเงินสิ้นปี (กำไร-ขาดทุน, งบดุล, ฯลฯ) ให้ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี (ถ้าจำเป็น) และคำนวณภาษีที่เหลือต้องชำระ ยื่นภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.50):  ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (สำหรับบริษัทที่ใช้ปีปฏิทิน พื้นที่งานจะสิ้นสุด 31 ธ.ค. ส่งแบบได้ถึง 30 พ.ค. หรือ 158 วันถ้ายื่นออนไลน์ ชำระภาษีประจำปี:  ชำระภาษีที่คำนวณไว้ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายในกำหนด โดยสามารถชำระผ่านธนาคารหรือระบบออนไลน์ได้ ทั้งนี้ ยื่นแบบออนไลน์ (e-Filing) สามารถขยายเวลาได้อีก 8 วันจากกำหนดเวลาปกติ ขั้นตอนยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ผ่านระบบ e-Filing ล็อกอินเข้าสู่ระบบ :  ใช้ชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านที่ได้มา เข้าเมนู “ยื่นแบบออนไลน์” ในระบบ e-Filing เลือกแบบ ภ.ง.ด.50 :  เลือกยื่นแบบ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ( ภ.ง.ด. 50 )  ซึ่งเป็นแบบที่ระบบรองรับสำหรับยื่นภาษีรายปีของนิติบุคคล กรอกข้อมูลในแบบ :  กรอกข้อมูลทั่วไป เช่น ปีภาษี ปีรอบระยะเวลาบัญชี ข้อมูลรายได้และรายการ ลดหย่อน ต่าง ๆ ระบบจะช่วยคำนวณภาษีที่ต้องชำระ รวมถึงเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับให้อัตโนมัติ อัปโหลดงบการเงิน :  แนบไฟล์งบการเงินและเอกสารประกอบการยื่นภาษี (ไฟล์ PDF) ตามที่กำหนดในแบบภาษี (เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการคำนวณภาษี ตรวจสอบและยืนยันการส่ง :  ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทั้งหมด แล้วคลิก “ยืนยันการส่งแบบ” ระบบจะแสดงเลขอ้างอิง (Reference Number) ยืนยันการรับแบบ ชำระภาษี :  หลังส่งแบบสำเร็จ ให้ไปที่เมนู ชำระภาษีออนไลน์  เพื่อเลือกชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล วิธีการชำระสามารถทำได้ผ่านระบบ E-Payment ของธนาคารหรือบริการอินเทอร์เน็ต แบงก์กิ้งที่กรมสรรพากรกำหนด (ผู้ใช้สามารถเลือกชำระภาษี ภ.ง.ด.50 พร้อมกับ ภ.ง.ด.51 ในครั้งเดียวกันได้ ขั้นตอนยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ผ่านระบบ e-Filing ล็อกอินเข้าสู่ระบบ :  ทำเหมือนขั้นตอน ภ.ง.ด.50 เลือกแบบ ภ.ง.ด.51 :  ในเมนูยื่นแบบออนไลน์ ให้เลือกแบบ ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) กรอกข้อมูลในแบบ :  กรอกข้อมูลของกลางปี (สัดส่วนกำไรครึ่งปี รายการ ลดหย่อน ฯลฯ) ตามที่แบบกำหนด ยืนยันและส่งแบบ :  ตรวจสอบข้อมูลแล้วกดยืนยันการส่งแบบ ระบบจะคิดภาษีล่วงหน้าที่ต้องชำระให้ และแสดงเลขอ้างอิงการยื่นแบบ ชำระภาษี :  ชำระภาษีที่ระบบแจ้ง (สามารถเลือกชำระพร้อมกับแบบ ภ.ง.ด.50 ได้ตามข้อแนะนำข้างต้น สามารถยื่นแบบและชำระภาษีทุกประเภทแบบได้ที่ลิ้งนี้ https://efiling.rd.go.th/ บทลงโทษและการแก้ไขเมื่อผิดพลาด: หากยื่นภาษีเกินกำหนดหรือผิดแบบมีผลดังนี้ ค่าปรับและเงินเพิ่ม :  ถ้ามีภาษีต้องชำระแล้วยื่นล่าช้า ต้องเสียค่าปรับอาญาไม่เกิน 2,000 บาท และเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษีที่ค้างชำระ ตัวอย่างเช่น หากยื่นเกินกำหนดภายใน 7 วัน ปรับ 1,000 บาท เกิน 7 วัน ปรับ 2,000 บาท และยังต้องจ่ายเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนตามจริง ถ้ายื่นล่าช้าแต่ไม่มีภาษีต้องชำระ ผู้เสียภาษีจะเสียเพียงค่าปรับ (สูงสุด 2,000 บาท) แต่ไม่มีเงินเพิ่ม การแก้ไขแบบ (ยื่นเพิ่มเติม) :  หากพบว่าเลือกแบบผิด (เช่น ยื่นแบบเกินกำหนด หรือยื่นผิดประเภท) สามารถยื่นแบบ เพิ่มเติม/แก้ไข  เพื่อแก้ความผิดพลาดได้. ผู้เสียภาษีควรจัดทำแบบ ภ.ง.ด.ฉบับเพิ่มเติมหรือแบบแก้ไข แล้วนำส่งกรมสรรพากรพร้อมชี้แจงรายละเอียดความผิดพลาด ในกรณียื่นแบบเพิ่มเติมภายในกำหนด จะไม่มีค่าปรับอาญา แต่ถ้ายื่นหลังกำหนด ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีส่วนที่ชำระเพิ่มเติม ตัวอย่าง :  หากลืมยื่นแบบหรือยื่นผิดจริง (เช่น ยื่น ภ.ง.ด.90 แทน ภ.ง.ด.50 ), ให้เตรียมแบบแก้ไขและติดต่อสำนักงานสรรพากรใกล้บ้านเพื่อนำส่งแบบใหม่ พร้อมชำระภาษีและค่าปรับ/เงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด การยื่นภาษีนิติบุคคลต้องรอบคอบในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดทำบัญชี เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ไปจนถึงการเลือกช่องทางยื่นที่เหมาะสม (สำนักงานสรรพากรหรือออนไลน์) เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและบทลงโทษ. โดยทั่วไป แบบ ภ.ง.ด.51 ยื่นครึ่งปีภายใน 2 เดือน (จากสิ้นครึ่งปีบัญชี) และ แบบ ภ.ง.ด.50 ยื่นประจำปีภายใน 150 วัน หลังสิ้นรอบบัญชี หากมีการยื่นล่าช้าหรือผิดแบบ ให้รีบดำเนินการแก้ไขโดยยื่นแบบเพิ่มเติมและติดต่อกรมสรรพากรโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงเบี้ยปรับและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น FAQ การยื่นภาษีนิติบุคคลคืออะไร? การยื่นภาษีนิติบุคคลคือการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรตามกฎหมาย โดยมี 2 ช่วงหลัก ได้แก่ ภาษีกลางปี (แบบ ภ.ง.ด.51) และภาษีสิ้นปี (แบบ ภ.ง.ด.50) ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการยื่นภาษีนิติบุคคล? เอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่ งบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี, แบบแสดงรายการภาษี (ภ.ง.ด.50 หรือ 51), รายละเอียดรายได้–ค่าใช้จ่าย, หนังสือรับรองบริษัท และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ช่องทางการยื่นภาษีนิติบุคคลมีกี่แบบ? ปัจจุบันกรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้เสียภาษียื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ (e-Filing) ซึ่งสะดวก รวดเร็ว และลดการใช้เอกสาร โดยสามารถยื่นผ่านเว็บไซต์ rdserver.rd.go.th จะสมัครใช้งานระบบ e-Filing สำหรับนิติบุคคลได้อย่างไร? นิติบุคคลต้องเตรียมหนังสือรับรองบริษัท และแบบฟอร์มคำขอใช้บริการ พร้อมยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ เพื่อรับรหัสผ่านเข้าใช้งานระบบ e-Filing ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร หากยื่นภาษีล่าช้าจะเกิดอะไรขึ้น? หากยื่นภาษีล่าช้า บริษัทจะต้องชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจสูงถึง 100% ของภาษีที่ต้องจ่าย และมีโอกาสถูกตรวจสอบย้อนหลังจากกรมสรรพากร ให้ iACC Professional ดูแลการยื่นภาษีของธุรกิจคุณ หากคุณเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารนิติบุคคลที่ต้องการความมั่นใจในการ ยื่นภาษี  ทั้งแบบ ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากค่าปรับหรือภาษีย้อนหลัง มั่นใจในความถูกต้อง โปร่งใส และทันเวลา ให้ iACC Professional เป็นผู้ช่วยด้านภาษีของคุณวันนี้! โทร:  086-345-0265 อีเมล:   sirinya.iacc@gmail.com

  • กฎหมายต้องรู้สำหรับ SME ในการยื่นภาษีและงบการเงิน (การยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50)

    สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในประเทศไทย การปฏิบัติตามกฎหมายด้านภาษีและการยื่นงบการเงินถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ยังป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นจากการละเว้นหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด เรามาดูกันว่ากฎหมายและหน้าที่หลัก ๆ ที่ธุรกิจ SME ต้องปฏิบัติตามในเรื่องภาษีและงบการเงินมีอะไรบ้าง กฏหมายต้องรู้สำหรับ SME 1. การยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (การยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50) การยื่นแบบ ภ.ง.ด.50  หรือ แบบแสดงรายการ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ประจำปี เป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่ทุกธุรกิจ SME ต้องปฏิบัติ โดยจะต้องยื่นแบบนี้ต่อกรมสรรพากรภายใน 150 วัน หลังจากสิ้นสุดรอบบัญชี ซึ่งในแบบฟอร์มนี้จะต้องแจ้งรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิของธุรกิจ เพื่อประเมินภาษีที่ต้องชำระ สิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ได้แก่ งบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต รายงานกำไรขาดทุน รายงานฐานะการเงิน (งบดุล) การยื่นแบบนี้สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการจ่ายภาษีเงินได้ของธุรกิจ หากไม่ยื่นหรือยื่นล่าช้าอาจมีค่าปรับและดอกเบี้ยตามกฎหมาย 2. การยื่นงบการเงินประจำปีต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อีกหนึ่งภาระหน้าที่ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติเป็นประจำคือการยื่น งบการเงินประจำปี ต่อ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) งบการเงินนี้ต้องผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและยื่นภายใน 5 เดือน หลังจากสิ้นสุดรอบบัญชี งบการเงินประกอบด้วย: งบฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด หมายเหตุประกอบงบการเงิน การ ยื่นงบการเงิน มีความสำคัญเนื่องจากเป็นการแสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ และเป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์และวางแผนทางธุรกิจ รวมถึงเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดเพื่อความโปร่งใสของธุรกิจ 3. การยื่นแบบภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ธุรกิจ SME ยังต้องยื่น แบบ ภ.ง.ด.51 หรือ แบบแสดงรายการ ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี  ซึ่งเป็นการยื่นแบบภาษีครึ่งปีเพื่อแจ้งรายได้และคาดการณ์กำไรในช่วงครึ่งปีแรกของธุรกิจ การยื่นแบบนี้จะต้องทำภายใน 2 เดือน หลังจากสิ้นสุดรอบครึ่งปีบัญชี 4. การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) : หากธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นแบบ ภ.พ.30 เพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อกรมสรรพากรทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ภาษีหัก ณ ที่จ่าย : ทุกครั้งที่ธุรกิจจ่ายเงินให้บุคคลหรือนิติบุคคลที่ให้บริการ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กำหนด และยื่นแบบ ภ.ง.ด.3  (สำหรับบุคคลธรรมดา) หรือ ภ.ง.ด.53  (สำหรับนิติบุคคล) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป 5. การยื่นประกันสังคมรายเดือน สำหรับธุรกิจที่มีพนักงานจำเป็นต้องยื่นแบบ สปส.1-10  เพื่อแจ้งรายละเอียดการจ่ายเงินสมทบกองทุน ประกันสังคม ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป 6. การยื่นภาษีป้าย ธุรกิจที่มีการติดตั้งป้ายโฆษณาหรือป้ายบริษัทจะต้องยื่นและชำระ ภาษีป้าย ทุกปี โดยยื่นแบบ ภ.ป.1  และชำระเงินภายในเดือนมีนาคมของทุกปี การปฏิบัติตามกฎหมายด้านภาษีและการ ยื่นงบการเงิน เป็นสิ่งที่ SME ทุกแห่งต้องให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับหน่วยงานราชการ รวมถึงสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ การปฏิบัติตามกฎหมายไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจต่อคู่ค้า นักลงทุน และสถาบันการเงินด้วย การมีนักบัญชีหรือนักกฎหมายคอยให้คำปรึกษาจะช่วยให้ธุรกิจ SME ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างถูกต้องและทันเวลา FAQ ธุรกิจ SME ในประเทศไทยมีหน้าที่หลักอะไรบ้างเกี่ยวกับภาษีและงบการเงิน? หน้าที่หลัก ๆ ได้แก่ การยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี ( ภ.ง.ด.50 ), การยื่นงบการเงินประจำปีต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า, การยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ..ง.ด.51), การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ( VAT ) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย, การยื่นประกันสังคมรายเดือน (สปส.1-10), และการยื่นภาษีป้าย (ภ.ป.1). การยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 คืออะไร และเมื่อไหร่ที่ต้องยื่น? การยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 คือ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี ซึ่งธุรกิจ SME ต้องยื่นต่อกรมสรรพากรภายใน 150 วันหลังจากสิ้นสุดรอบบัญชี อะไรคือสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ? สิ่งที่ต้องเตรียม ได้แก่ งบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต, รายงานกำไรขาดทุน, และรายงานฐานะการเงิน ทำไมธุรกิจ SME ต้องยื่นงบการเงินประจำปีต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า? การยื่นงบการเงินเป็นการแสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจ และเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อความโปร่งใส งบการเงินประจำปีประกอบด้วยอะไรบ้าง? งบการเงินประกอบด้วย งบฐานะการเงิน, งบกำไรขาดทุน, งบกระแสเงินสด, และหมายเหตุประกอบงบการเงิน แบบ ภ.ง.ด.51 คืออะไร และเมื่อไหร่ที่ต้องยื่น? แบบ ภ.ง.ด. 51 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ซึ่งธุรกิจ SME ต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากสิ้นสุดรอบครึ่งปีบัญชี เมื่อไหร่ที่ธุรกิจ SME ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นแบบ ภ.พ.30 ? หากธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ธุรกิจ SME มีหน้าที่อย่างไรเกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย ? ทุกครั้งที่ธุรกิจจ่ายเงินให้บุคคลหรือนิติบุคคลที่ให้บริการ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กำหนด และยื่นแบบ ภ.ง.ด. 3 (สำหรับบุคคลธรรมดา) หรือ ภ.ง.ด. 53 (สำหรับนิติบุคคล) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป การมีนักบัญชีหรือนักกฎหมายให้คำปรึกษามีประโยชน์ต่อธุรกิจ SME อย่างไร? การมีนักบัญชีหรือนักกฎหมายคอยให้คำปรึกษาจะช่วยให้ธุรกิจ SME ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างถูกต้องและทันเวลา

  • ภาษีเงินได้นิติบุคคลกับรายจ่ายต้องห้าม: สิ่งที่นิติบุคคลต้องรู้

    ภาษีเงินได้นิติบุคคลกับรายจ่ายต้องห้าม: สิ่งที่นิติบุคคลต้องรู้ รายจ่ายต้องห้ามคืออะไร? ทำความเข้าใจนิยามและหลักการ รายจ่ายต้องห้าม  ตามประมวลรัษฎากร หมายถึง รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการของนิติบุคคลตามหลักการทางบัญชี แต่ในทางภาษีอากร กฎหมายไม่อนุญาตให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีรายจ่ายเหล่านี้จะต้องถูก "บวกกลับ" เข้าไปในกำไรสุทธิทางบัญชี เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรสุทธิทางภาษีที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะต้องระบุในแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด.50 บทบัญญัติหลักที่เกี่ยวข้องกับรายจ่ายต้องห้ามนี้คือ มาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ผลกระทบของรายจ่ายต้องห้ามต่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล อธิบายหลักการ "บวกกลับ" เมื่อนิติบุคคลมี รายจ่ายต้องห้าม  เกิดขึ้น รายจ่ายเหล่านั้นจะไม่ถูกนำมาหักออกจากรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษี 4  แต่จะถูก "บวกกลับ" เข้าไปในกำไรสุทธิที่คำนวณได้ตามหลักการบัญชี ซึ่งหมายความว่า กำไรสุทธิทางบัญชีจะถูกปรับเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนของรายจ่ายต้องห้ามเหล่านั้น เพื่อให้ได้ "กำไรสุทธิทางภาษี" ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล 4  หลักการนี้มีขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่า เฉพาะรายจ่ายที่กฎหมายภาษีกำหนดว่ามีความจำเป็นและเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้ลดหย่อนภาระภาษีของบริษัทได้ ตัวอย่างการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีที่ได้รับผลกระทบ สมมติว่า บริษัท A ซึ่งเป็นธุรกิจ SME มีกำไรสุทธิทางบัญชีจำนวน 300,000 บาท ในรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่ง และมี รายจ่ายต้องห้าม  ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานจำนวน 100,000 บาท (เช่น เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้บริหารที่ไม่ได้ระบุไว้ในระเบียบของบริษัท) การคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีจะเป็นดังนี้ กำไรสุทธิทางบัญชี: 300,000 บาท บวกกลับรายจ่ายต้องห้าม: + 100,000 บาท กำไรสุทธิทางภาษี: 400,000 บาท จากนั้น นำกำไรสุทธิทางภาษี 400,000 บาท ไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SME กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก: ได้รับการยกเว้นภาษี (0%) กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300,000 บาท (400,000 - 300,000 = 100,000 บาท): เสียภาษีในอัตราร้อยละ 15 ภาษีที่ต้องชำระ: 100,000 บาท x 15% = 15,000 บาท หากบริษัท A ไม่มีรายจ่ายต้องห้าม 100,000 บาทนี้ กำไรสุทธิทางภาษีก็จะเท่ากับกำไรสุทธิทางบัญชีที่ 300,000 บาท ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด ทำให้บริษัทไม่ต้องเสียภาษีเลย การมีรายจ่ายต้องห้าม 100,000 บาทนี้จึงทำให้บริษัทต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นถึง 15,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบทางการเงินโดยตรงและมีนัยสำคัญ ประเภทของรายจ่ายต้องห้ามที่พบบ่อย ตารางสรุปประเภทรายจ่ายต้องห้ามและเหตุผลโดยย่อ ประเภทรายจ่ายต้องห้าม เหตุผลโดยย่อ มาตรา 65 ตรี (ถ้ามี) รายจ่ายส่วนตัวและรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรหรือประโยชน์ของกิจการโดยเฉพาะ 13 รายจ่ายเพื่อการรับรองที่เกินกำหนด เกินกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (ต่อคน, ต่อรายได้รวม) 4 เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับทางภาษี เป็นบทลงโทษ ไม่ใช่รายจ่ายในการดำเนินธุรกิจ 6 รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน เป็นการเพิ่มมูลค่าหรือยืดอายุทรัพย์สิน ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายปกติ 5 เงินสำรองต่างๆ เป็นการตั้งสำรอง ไม่ใช่รายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน (มีข้อยกเว้น) 1, 1.1-1.3 ภาษีซื้อบางประเภทที่ไม่สามารถนำมาหักได้ ไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีได้ตามกฎหมาย VAT - (อ้างอิง ม.82/5) รายจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับไม่ได้ ไม่มีหลักฐานยืนยันการจ่ายเงินและผู้รับที่ชัดเจน 18 รายจ่ายอื่นๆ ที่กำหนดจ่ายจากผลกำไร ไม่ใช่รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ แต่ขึ้นอยู่กับผลกำไร 19 เงินเดือน/ค่าตอบแทนผู้ถือหุ้น/หุ้นส่วนที่เกินสมควร ถือเป็นการจ่ายคืนทุนหรือผลประโยชน์ส่วนตัว 8 ดอกเบี้ยเงินทุนสำรองหรือเงินกองทุนของตนเอง ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่จ่ายให้บุคคลภายนอก 11 ค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีเกณฑ์ชัดเจนในการประเมินมูลค่าที่สูญเสียไป 16 ค่าเสียหายจากการลดมูลค่าทรัพย์สิน เป็นการปรับปรุงทางบัญชี ยังไม่เกิดการขายจริง 17 รายจ่ายที่สำนักงานใหญ่เรียกเก็บจากสาขาในไทย (บางกรณี) ต้องพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องและไม่ซ้ำซ้อน 14 แนวทางการจัดการรายจ่ายต้องห้ามเพื่อลดความเสี่ยงทางภาษี การจัดการรายจ่ายต้องห้ามอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดความเสี่ยงทางภาษีและป้องกันปัญหาจากการตรวจสอบของ กรมสรรพากร การจัดทำเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน เอกสารหลักฐานที่แข็งแกร่งเป็นแนวป้องกันแรกที่สำคัญสุด ต้องจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จ แต่รวมถึง หลักฐานการจ่ายเงิน (ใบสำคัญจ่าย) สัญญา บันทึกภายในอธิบายวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ หลักฐานพิสูจน์ตัวผู้รับเงินอย่างชัดเจน หลักการสำคัญ "บันทึกทุกสิ่ง"  - ภาระการพิสูจน์อยู่ที่ผู้เสียภาษี แม้รายจ่ายเล็กน้อยที่ไม่มีเอกสารก็อาจกระตุ้นการตรวจสอบ การกำหนดระเบียบและนโยบายภายในองค์กร ระเบียบภายในที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเบิกค่าใช้จ่ายผู้บริหารและค่ารับรอง เป็นกลยุทธ์สำคัญลดความเสี่ยงทางภาษี ประโยชน์ สร้างกรอบการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ลดความคลุมเครือ เปลี่ยนรายจ่าย "ส่วนตัว" ให้เป็น "สวัสดิการ" หรือ "ธุรกิจ" ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตัวอย่าง:  กำหนดค่าน้ำมันรถผู้บริหารหรือเงินช่วยเหลือพนักงานในงานศพเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการพนักงาน  วางแผนโครงสร้างค่าตอบแทนและสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพทางภาษี โดยความร่วมมือระหว่างฝ่าย HR และการเงิน ความสำคัญของการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี กฎหมายภาษีมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การตีความอาจคลุมเครือ โดยเฉพาะประเด็น "เกินสมควร" หรือ "ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อธุรกิจ" ผู้เชี่ยวชาญช่วยได้ ให้คำแนะนำเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ ตีความความคลุมเครือของกฎหมาย นำทางในกระบวนการตรวจสอบภาษี ให้บริบทและตัวอย่างจากคดีก่อนหน้า วางแผนเชิงกลยุทธ์และประเมินความเสี่ยง การลงทุนคุ้มค่า:  ค่าที่ปรึกษาไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนป้องกันความเสียหายทางการเงินที่สำคัญและสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎหมายระยะยาว FAQ รายจ่ายต้องห้าม คืออะไร? รายจ่ายต้องห้าม คือ รายจ่ายที่ธุรกิจได้จ่ายออกไปจริงและบันทึกในบัญชีบริษัท แต่กฎหมายภาษีไม่อนุญาตให้นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล รายจ่ายเหล่านี้ต้องถูกบวกกลับเข้าไปในกำไรทางบัญชี เพื่อให้ได้กำไรสุทธิทางภาษีที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีจริง ทำไมถึงต้องมีรายจ่ายต้องห้าม ในเมื่อเป็นค่าใช้จ่ายจริงของกิจการ? เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำรายจ่ายบางประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจหรือมีลักษณะส่วนตัวมาใช้ลดภาระภาษี และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี หากมีรายจ่ายต้องห้าม ธุรกิจจะต้องทำอย่างไรในการคำนวณภาษี? ต้องนำรายจ่ายต้องห้ามบวกกลับเข้าไปในกำไรทางบัญชี เพื่อให้ได้กำไรสุทธิทางภาษีซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องจ่าย ตัวอย่างของรายจ่ายต้องห้ามที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง? รายจ่ายส่วนตัว, ค่ารับรองเกินกำหนด, เบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษี, ภาษีซื้อต้องห้าม, รายจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับไม่ได้, รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน จะป้องกันไม่ให้มีรายจ่ายต้องห้ามได้อย่างไร? ควรจัดทำเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน, กำหนดนโยบายภายในเกี่ยวกับการเบิกจ่าย และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีอย่างสม่ำเสมอ

  • การจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุด

    คู่มือฉบับสมบูรณ์: สรุปขั้นตอนใน 180 วัน นิติบุคคลอาคารชุดคืออะไร? นิติบุคคลอาคารชุดคือ "นิติบุคคลที่ได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติอาคารชุด" โดยมีสถานะเป็นกลุ่มบุคคลหรือบริษัทที่ได้รับการว่าจ้างมาเพื่อจัดการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางของคอนโดมิเนียม อาคารชุดตามกฎหมายประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคล ซึ่งคือห้องชุดที่เจ้าของแต่ละรายถือครอง และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง เช่น โถงทางเดิน สระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ 2 นิติบุคคลอาคารชุดมีหน้าที่ดูแลและจัดการเฉพาะทรัพย์ส่วนกลางเหล่านี้เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และมีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ภายใต้มติของเจ้าของร่วมและบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด การจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุด คู่มือฉบับสมบูรณ์: สรุปขั้นตอนใน 180 วัน บทบาทของผู้ประกอบการ (Developer) ในช่วงเริ่มต้นของการจัดตั้งนิติบุคคล ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของการจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุด โดยมีหน้าที่ในการวางแผนและเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดตั้งนิติบุคคล ซึ่งรวมถึงการศึกษาข้อมูลและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด  ผู้ประกอบการยังต้องจัดการและจัดเตรียมบัญชีสาธารณูปโภคและบริการส่วนกลางทั้งหมดตามแผนผังโครงการที่ได้รับอนุมัติให้พร้อมก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ยูนิตแรก หนึ่งในภาระผูกพันที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการคือการเรียกประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งแรกภายในระยะเวลา 6 เดือน หรือ 180 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ยูนิตแรกของโครงการ  การปฏิบัติตามกรอบเวลานี้เป็นสิ่งจำเป็นตามกฎหมาย เพื่อให้การถ่ายโอนอำนาจการบริหารจัดการจากผู้ประกอบการไปสู่เจ้าของร่วมเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ มักเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการกับลูกบ้าน หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในกลุ่มลูกบ้านเอง  ปัญหาที่พบบ่อยคือผู้ประกอบการอาจต้องการเร่งโอนทรัพย์ส่วนกลางเพื่อลดภาระความรับผิดชอบหลังการขาย ในขณะที่เจ้าของร่วมต้องการความโปร่งใสและการตรวจสอบที่ละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับสภาพของทรัพย์ส่วนกลาง  การเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสาธารณูปโภคตั้งแต่แรกเริ่ม อาจทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดและนำไปสู่ปัญหาในภายหลังได้  ดังนั้น การดำเนินการจัดตั้งนิติบุคคลที่ประสบความสำเร็จจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามกรอบเวลาทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความโปร่งใส ความร่วมมือ และการสื่อสารที่ชัดเจนจากผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการส่งมอบที่ราบรื่นและสร้างความไว้วางใจในระยะยาว ความสำคัญของ "180 วัน" และ "30 วัน" ในกระบวนการจัดตั้ง ระยะเวลา 180 วันสำหรับการจัดประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งแรก และ 30 วันสำหรับการนำมติที่ประชุมไปจดทะเบียนที่กรมที่ดิน ไม่ใช่เพียงกรอบเวลาทางธุรการ แต่เป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่ง  ระยะเวลา 180 วันแรกเป็นการกำหนดภาระผูกพันทางกฎหมายโดยตรงต่อผู้ประกอบการหรือผู้บริหารชุดเริ่มต้น เพื่อให้เริ่มต้นกระบวนการถ่ายโอนการบริหารจัดการไปยังเจ้าของร่วมอย่างเป็นทางการ  การไม่ปฏิบัติตามกรอบเวลานี้อาจบ่งชี้ถึงความประมาทเลินเล่อหรือความพยายามที่จะเลื่อนการรับผิดชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของเจ้าของร่วม ส่วนระยะเวลา 30 วันถัดมาสำหรับการจดทะเบียนมติที่ประชุม  มีจุดประสงค์เพื่อให้การตัดสินใจของเจ้าของร่วมได้รับการรับรองทางกฎหมายอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างและข้อบังคับใหม่มีผลบังคับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ การที่กฎหมายกำหนดบทลงโทษอย่างชัดเจนสำหรับการไม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลา 30 วันนี้  แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่รัฐให้กับการดำเนินการที่ถูกต้องและทันเวลา เพื่อป้องกันช่วงเวลาที่การบริหารจัดการอาจไม่ชัดเจนหรือไม่ได้รับการกำกับดูแล ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของเจ้าของร่วมได้ ความสัมพันธ์แบบถ่วงดุลอำนาจระหว่างผู้จัดการ, คณะกรรมการ, และเจ้าของร่วม โครงสร้างทางกฎหมายของนิติบุคคลอาคารชุดถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนเพื่อสร้างระบบการถ่วงดุลอำนาจที่ชัดเจน โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจและปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมทุกคน ผู้จัดการนิติบุคคลทำหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดที่รับผิดชอบการดำเนินงานประจำวัน  แต่การกระทำของพวกเขาก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ ซึ่งเป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของเจ้าของร่วม ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าของร่วมในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสูงสุด ยังคงมีอำนาจสำคัญโดยตรงผ่านการประชุมใหญ่  ซึ่งเป็นเวทีที่พวกเขาสามารถแต่งตั้งหรือถอดถอนทั้งผู้จัดการและคณะกรรมการได้  นอกจากนี้ การที่กฎหมายอนุญาตให้เจ้าของร่วมจำนวนหนึ่ง (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของคะแนนเสียงทั้งหมด) สามารถลงลายมือชื่อเพื่อขอให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญได้  ถือเป็นช่องทางโดยตรงในการแทรกแซงเมื่อเกิดเหตุจำเป็นหรือปัญหาเร่งด่วน โครงสร้างความรับผิดชอบหลายระดับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การจัดการทรัพย์ส่วนกลางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของระบบนี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของเจ้าของร่วม และความซื่อสัตย์สุจริตของผู้จัดการและคณะกรรมการ  หากเจ้าของร่วมขาดการมีส่วนร่วม หรือผู้บริหารขาดความรู้ความสามารถตามที่กฎหมายกำหนด  ก็อาจนำไปสู่ปัญหาสำคัญได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากปราศจากการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นและจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ ความท้าทายที่พบบ่อยและแนวทางรับมือ ปัญหาด้านเอกสาร เตรียมเอกสารล่วงหน้าและตรวจสอบกับเช็กลิสต์อย่างละเอียด หากไม่แน่ใจควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่กรมที่ดินโดยตรง องค์ประชุมไม่ครบ ประชาสัมพันธ์การประชุมอย่างทั่วถึง สร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วม และอาจพิจารณาเรื่องการมอบฉันทะ การค้างชำระค่าส่วนกลาง บังคับใช้ข้อบังคับอย่างจริงจัง มีมาตรการลงโทษตามกฎหมาย และแสดงรายงานการเงินที่โปร่งใสเพื่อให้เจ้าของร่วมเห็นความสำคัญ ผู้จัดการ/กรรมการ ขาดประสบการณ์ กำหนดคุณสมบัติที่ชัดเจนในขั้นตอนการคัดเลือก และคณะกรรมการ/เจ้าของร่วมต้องมีการตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ ความขัดแย้งระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เน้นการสื่อสารที่โปร่งใสและเป็นกลาง สร้างเวทีรับฟังความคิดเห็น และใช้มติที่ประชุมเป็นเครื่องมือตัดสินใจหลัก ประโยชน์ของการจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุด การจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุดที่ถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายนำมาซึ่งประโยชน์มากมายต่อทั้งโครงการและเจ้าของร่วมในระยะยาว  ประโยชน์ของการมีนิติบุคคลอาคารชุดที่สมบูรณ์ ได้แก่ การดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางอย่างเป็นระบบ:  นิติบุคคลทำหน้าที่ดูแลรักษาพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือสวน ให้คงอยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ  ซึ่งช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่และยั่งยืน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัย:  การมีนิติบุคคลช่วยกำหนดกฎระเบียบในการอยู่อาศัยร่วมกัน ทำให้โครงการมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเพิ่มความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย การบริหารจัดการทางการเงินที่โปร่งใส:  นิติบุคคลมีหน้าที่จัดทำงบประมาณและรายงานรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการยื่น งบการเงินนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และติดประกาศให้เจ้าของร่วมทราบ  ซึ่งช่วยให้การบริหารเงินของโครงการมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของร่วมในเรื่องการใช้จ่าย ค่าส่วนกลาง การแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ:  นิติบุคคลทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับเรื่องและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเพื่อนบ้านที่ก่อกวน หรือการชำรุดเสียหายของพื้นที่ส่วนกลาง  ทำให้ปัญหาได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบและทันท่วงที การคุ้มครองสิทธิ์ของเจ้าของร่วม:  เจ้าของร่วมมีสิทธิ์ในการร่วมกำหนดทิศทางการบริหารงานผ่านการประชุมใหญ่ และสามารถตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารได้  ซึ่งเป็นการรับประกันว่าการตัดสินใจต่าง ๆ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเจ้าของร่วม การเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์:  โครงการที่มีการบริหารจัดการนิติบุคคลที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ มีการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางอย่างสม่ำเสมอ และมีการบริหารการเงินที่โปร่งใส มักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาวและเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ  การลงทุนในกระบวนการจัดตั้งนิติบุคคลอย่างพิถีพิถันและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จึงไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินของเจ้าของร่วมทุกคน การจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุดที่ถูกต้องและสมบูรณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง มีความเป็นระเบียบ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อมูลค่าของทรัพย์สินในระยะยาวสำหรับเจ้าของร่วมทุกคน

  • การจดทะเบียนนิติบุคคล: ขั้นตอนและประโยชน์ที่คุณควรรู้

    เรียนรู้วิธีการ จดทะเบียนนิติบุคคล การ จดทะเบียนนิติบุคคล เป็นขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคล ประโยชน์ที่ได้รับ และเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ ทำไมต้องจดทะเบียนนิติบุคคล? การจดทะเบียนนิติบุคคลมีข้อดีหลายประการ เช่น การแยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากทรัพย์สินของธุรกิจ ซึ่งช่วยปกป้องทรัพย์สินส่วนตัวของคุณในกรณีที่ธุรกิจประสบปัญหาทางการเงินหรือทางกฎหมาย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในสายตาของลูกค้าและคู่ค้า ประเภทของนิติบุคคล นิติบุคคลสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ โดยหลัก ๆ แล้วมีประเภทดังนี้ บริษัทจำกัด: บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยผู้ถือหุ้นจะรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทตามมูลค่าหุ้นที่ตนถือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด: ห้างหุ้นส่วนที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่ตนลงทุน ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน: ห้างหุ้นส่วนที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน สมาคม: กลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่แสวงหากำไร มูลนิธิ: องค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ทรัพย์สินในการทำประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เช่น การศึกษา ศาสนา หรือสาธารณประโยชน์ ขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคล การตั้งนิติบุคคลมีหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ โดยทั่วไปแล้วมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้ ตั้งชื่อบริษัท: เลือกชื่อบริษัทที่ต้องการใช้และตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับชื่อบริษัทอื่น ๆ จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ: ยื่นหนังสือบริคณห์สนธิต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดให้มีการจองซื้อหุ้น: เปิดให้ผู้ถือหุ้นจองซื้อหุ้นและนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมด จัดประชุมเพื่อจัดตั้งบริษัท: จัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจัดตั้งบริษัทและเลือกคณะกรรมการ เลือกคณะกรรมการบริษัท: เลือกคณะกรรมการบริษัทเพื่อดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน: ชำระค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัท รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียน: รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ข้อกำหนดการจดทะเบียนบริษัท มีอะไรบ้าง? เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนนิติบุคคล สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนนิติบุคคล มีดังนี้ ใบจองชื่อนิติบุคคล: เพื่อรับรองว่าชื่อที่ใช้จดทะเบียนไม่ซ้ำกับธุรกิจอื่น คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด (แบบ บอจ.1) หนังสือบริคณห์สนธิ (แบบ บอจ.2) รายการจดทะเบียนจัดตั้ง (แบบ บอจ.3) บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการทุกคน สำเนาหลักฐานการรับชำระค่าหุ้น แผนที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ การจดทะเบียนนิติบุคคลออนไลน์ คุณสามารถจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยใช้ระบบ DBD Biz Regist ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบบนี้ช่วยให้การจดทะเบียนสะดวกและรวดเร็วขึ้นมาก ระยะเวลาในการจดทะเบียน ระยะเวลาในการจดทะเบียนนิติบุคคลขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารและข้อมูลที่ต้องการใช้ โดยทั่วไปแล้ว การจดทะเบียนบริษัทสามารถใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ หากคุณมีเอกสารและข้อมูลครบถ้วน การจดทะเบียนออนไลน์ผ่านระบบ DBD e-Registration อาจช่วยให้กระบวนการเร็วขึ้น ท่านสามารถศึกษาคู่มือ 'สิ่งที่ต้องรู้และปฏิบัติเมื่อเป็นห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด'  ได้เพิ่มเติมจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและกำลังลังเลว่าควรจดทะเบียนบริษัทหรือไม่ หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดำเนินการให้ถูกต้องและรวดเร็ว iACC Professional  พร้อมให้บริการด้วยทีมงานมืออาชีพ ที่จะช่วยให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องง่าย ประหยัดเวลาในการเตรียมเอกสาร ให้คุณมีเวลามุ่งพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่ สอบถามค่าบริการและปรึกษาฟรี!

  • การขายตรงกับการตลาดแบบตรง ต่างกันอย่างไร

    การขายตรงและการตลาดแบบตรง ต่างกันอย่างไร ในปัจจุบัน ธุรกิจหลากหลายประเภทเลือกใช้ทั้ง การขายตรง และ การตลาดแบบตรง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีการทำงานที่เน้นการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง แต่ก็มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน รวมถึงกฎหมายที่บังคับใช้ โดยในประเทศไทย การดำเนินธุรกิจการขายตรงและการตลาดแบบตรงจะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 และ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นการควบคุมการทำธุรกิจเหล่านี้ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การขายตรง (Direct Selling) คืออะไร การขายตรง  เป็นรูปแบบการจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่ตัวแทนขายหรือผู้จำหน่ายอิสระนำเสนอสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง เช่น การขายสินค้าที่บ้านของลูกค้า หรือสถานที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ร้านค้าปกติ การขายตรงช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถมีการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคได้โดยตรง ยกตัวอย่างธุรกิจที่ใช้วิธีการขายตรง เช่น Amway  ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือ Mistine  ที่จำหน่ายเครื่องสำอาง การตลาดแบบตรง (Direct Marketing) คืออะไร การตลาดแบบตรง  เป็นการทำการตลาดที่มุ่งเน้นการสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคผ่านสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต อีเมล หรือแผ่นพับ โดยผู้ประกอบการตลาดแบบตรงจะสื่อสารข้อมูลสินค้าและบริการไปยังกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ไกลออกไป มุ่งหวังให้เกิดการตอบสนองจากผู้บริโภคที่ได้รับข้อมูล เช่น การซื้อสินค้าหรือสมัครบริการ ยกตัวอย่างเช่น การส่งแคมเปญโปรโมชั่นผ่านอีเมลหรือการโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย ความแตกต่างระหว่างการขายตรงและการตลาดแบบตรง การขายตรง  เกิดขึ้นผ่านการพบปะและติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างตัวแทนขายกับผู้บริโภคที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่น ที่บ้าน หรือสถานที่ทำงาน การตลาดแบบตรง  เป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องมีการพบปะกันโดยตรง แต่ใช้สื่อที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสื่อสารกับผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกล และเน้นการตอบสนองโดยตรง เช่น การสั่งซื้อออนไลน์หรือโทรศัพท์เข้ามาสอบถาม กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายตรงและการตลาดแบบตรง ในประเทศไทย ธุรกิจที่ทำการขายตรงหรือการตลาดแบบตรงจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนด ได้แก่ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 กฎหมายนี้จัดทำขึ้นเพื่อควบคุมธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงให้มีมาตรฐานและเป็นไปตามข้อกำหนดที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยธุรกิจเหล่านี้จะต้องทำการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากกฎหมายเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด และเพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้บริโภค เช่น การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและการกำกับดูแลการปฏิบัติของธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงให้เป็นธรรม การจดทะเบียนธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง ธุรกิจที่ต้องการดำเนินการในรูปแบบการขายตรงหรือการตลาดแบบตรงจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะต้องมีการเตรียมเอกสารและข้อมูลที่ครบถ้วน รวมถึงต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในเรื่องการจ่ายเงินค่าสมาชิกหรือค่าสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมาย สรุป ทั้งการขายตรงและการตลาดแบบตรงต่างมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง และมีวิธีการทำธุรกิจที่ต่างกันไป ธุรกิจที่ต้องการดำเนินงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งควรมีการศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้องและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค

  • 5 กลยุทธ์วางแผนภาษีนิติบุคคล ฉบับเจ้าของธุรกิจเข้าใจง่าย

    การวางแผนภาษีนิติบุคคลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการลดภาระภาษีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ในบทความนี้ เราจะสรุป 5 กลยุทธ์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถวางแผนภาษีนิติบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5 กลยุทธ์วางแผนภาษีนิติบุคคล ฉบับเจ้าของธุรกิจเข้าใจง่าย 1. เข้าใจประเภทของภาษีนิติบุคคล ก่อนที่เจ้าของธุรกิจจะสามารถวางแผนภาษีนิติบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเข้าใจประเภทและอัตราภาษีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีทั้ง ภาษีนิติบุคคล สำหรับบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชน รวมถึงการนำรายได้ต่างๆ มาคำนวณภาษี 2. ใช้ประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่าย การหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของธุรกิจเป็นวิธีที่ช่วยลดฐานภาษี เจ้าของธุรกิจควรบันทึกค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้ตามกฎหมาย เช่น ค่าสำนักงาน ค่าจ้างพนักงาน และค่าโฆษณา 3. วางแผนการลงทุน การลงทุนในทรัพย์สินหรือเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตสามารถสร้างประโยชน์ในด้านการลดภาษีนิติบุคคลได้ การลงทุนเหล่านี้อาจได้รับการหักค่าเสื่อมราคา ซึ่งช่วยลดกำไรสุทธิและภาษีที่ต้องชำระ 4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี รัฐบาลมักมีนโยบายหรือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับธุรกิจที่ลงทุนในบางอุตสาหกรรมหรือในพื้นที่พัฒนาพิเศษ เจ้าของธุรกิจควรศึกษาและใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์เหล่านี้เพื่อลดภาระภาษีนิติบุคคล 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีสามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจได้รับข้อมูลและกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการวางแผน ภาษีนิติบุคคล ของตนเอง การมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญจะช่วยให้ธุรกิจสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทางกฎหมายและการจัดการภาษีที่ไม่เหมาะสม การวางแผนภาษีนิติบุคคลเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจในระบบภาษี เจ้าของธุรกิจควรใช้กลยุทธ์ที่ได้กล่าวถึงเพื่อช่วยในการลดภาระภาษีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด หากคุณมีคำถามหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีนิติบุคคล สามารถติดต่อเราที่ iACC Professional เพื่อขอคำปรึกษาได้เลย!

  • ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้าง?

    ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้าง? เมื่อพูดถึงภาษี หลายคนอาจรู้สึกไม่ค่อยสนุก แต่จริงๆ แล้ว การหักลดหย่อนภาษีสามารถช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ! มาดูกันว่าผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้างกัน 1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว ผู้มีเงินได้ทุกคนสามารถหักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ โดยสามารถลดหย่อนให้กับตัวเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ นอกจากนี้ยังมีสิทธิหักลดหย่อนในกรณีที่มีบุตรเลี้ยงดู 2. ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา สำหรับผู้ที่มีบุตรเรียนหนังสือ สามารถหักลดหย่อนค่าเล่าเรียนได้ ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองได้อีกด้วย 3. ค่าประกันสุขภาพ การซื้อประกันสุขภาพไม่เพียงแต่ช่วยดูแลสุขภาพของเรา แต่ยังสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้ 4. เงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้ โดยผู้ที่มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนตามจำนวนที่ได้ลงทุน 5. ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย หากคุณมีการกู้ยืมเพื่อซื้อบ้าน สามารถหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ซึ่งช่วยให้การผ่อนบ้านไม่เป็นภาระหนักนัก 6. บริจาคเพื่อการกุศล การบริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่ได้รับการรับรอง สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ เป็นการทำบุญที่ไม่เพียงแค่ใจดี แต่ยังได้ประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย การรู้จักสิทธิและวิธีการลดหย่อนภาษีที่เหมาะสม สามารถช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้น จึงไม่ควรละเลยโอกาสในการใช้สิทธินี้! หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี หรือการวางแผนภาษี สามารถติดต่อ iACC Professional เพื่อรับคำปรึกษาและบริการที่ตรงใจ F AQ ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้าง? ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา, ค่าประกันสุขภาพ, เงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย, และการบริจาคเพื่อการกุศล ประเภทเงินรายได้ที่ต้องเสียภาษี หรือ เงินได้พึงประเมิน ประเภทเงินรายได้ที่ต้องเสียภาษีหรือเงินได้พึงประเมินมีหลายประเภท เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, ค่าบริการ, ค่าลิขสิทธิ์, และรายได้จากการขายทรัพย์สิน การเสียภาษี: ความสำคัญและแนวทางในการจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ การเสียภาษีมีความสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศและบริการสาธารณะ แนวทางในการจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงการวางแผนภาษี, การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี, และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

  • ภ.ง.ด. 90: ขั้นตอนและข้อควรรู้ในการจัดการภาษีอย่างถูกต้อง

    ภ.ง.ด. 90: ขั้นตอนและข้อควรรู้ในการจัดการภาษีอย่างถูกต้อง ภ.ง.ด. 90 คืออะไร และทำไมต้องยื่น? เมื่อพูดถึงการเสียภาษี หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องซับซ้อน แต่สำหรับภ.ง.ด. 90 จริงๆ แล้วไม่ได้ยากอย่างที่คิด ภ.ง.ด. 90 คือแบบฟอร์มสำหรับ บุคคลธรรมดา ที่มีรายได้มากกว่าแค่เงินเดือน เช่น รายได้จากการทำงานเสริม การให้เช่า หรือรายได้อื่นๆ ซึ่งต่างจากภ.ง.ด. 91 ที่เป็นแบบสำหรับคนที่มีรายได้แค่จากเงินเดือนเท่านั้น ใครบ้างที่ต้องยื่น ภ.ง.ด. 90? ภ.ง.ด. 90 เหมาะสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีรายได้หลายประเภท เช่น รายได้จากการทำงานนอกเหนือจากเงินเดือน (ฟรีแลนซ์, งานพาร์ทไทม์) รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากการลงทุน รายได้จากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ได้รับจากการเป็นพนักงานประจำ หากคุณมีรายได้ประเภทใดประเภทหนึ่งในนี้ ก็อาจจะต้องยื่น ภ.ง.ด. 90 ขั้นตอนง่ายๆ ในการยื่น ภ.ง.ด. 90 รวบรวมข้อมูลรายได้ : รวมรายได้ทั้งหมดของคุณจากทุกแหล่ง และตรวจสอบว่าได้รวมรายได้พิเศษหรือรายได้เสริมที่อาจลืมไป คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย : ใช้เครื่องมือคำนวณภาษี หรือปรึกษานักบัญชีเพื่อคำนวณภาษีเบื้องต้น เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง : เช่น เอกสารรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (หากมี) และหลักฐานการลดหย่อนต่างๆ ยื่นผ่านออนไลน์ : เว็บไซต์กรมสรรพากรมีช่องทางให้ยื่นภาษีออนไลน์ที่สะดวกและรวดเร็ว ตรวจสอบความถูกต้อง : ตรวจสอบทุกข้อมูลอีกครั้งก่อนกดยืนยัน ข้อควรระวังและการป้องกันข้อผิดพลาด การยื่นภาษีอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบบ่อย เช่น การกรอกข้อมูลรายได้ไม่ครบ หรือการคำนวณภาษีผิด เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดเหล่านี้ คุณควร ทบทวนข้อมูลรายได้ทั้งหมดก่อนยื่น ใช้บริการที่ปรึกษาด้านภาษีหากมีข้อสงสัย ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภาษีประจำปี สิทธิในการลดหย่อนภาษีเมื่อยื่น ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่ยื่น ภ.ง.ด. 90 มีสิทธิในการขอลดหย่อนภาษีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว ค่าลดหย่อนจากการบริจาค ค่าลดหย่อนประกันชีวิตและสุขภาพ การใช้สิทธิลดหย่อนให้ถูกต้องจะช่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายได้มากขึ้น การยื่นภาษีให้ทันกำหนดและผลกระทบจากการยื่นช้า กรมสรรพากร กำหนดให้ยื่น ภ.ง.ด. 90 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป การยื่นภาษีล่าช้าอาจทำให้ถูกปรับ และเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ดังนั้น การเตรียมการล่วงหน้าจะช่วยให้คุณยื่นทันเวลาและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม การยื่น ภ.ง.ด. 90 ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด หากเตรียมตัวดีๆ และรู้ขั้นตอนต่างๆ ก็จะช่วยให้คุณจัดการเรื่องภาษีได้ง่ายขึ้นมาก หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ ภ.ง.ด. 90 มากขึ้นและสามารถยื่นภาษีได้อย่างมั่นใจ

  • ภ.ง.ด. 91: การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้ประจำ

    ภ.ง.ด. 91: การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้ประจำ การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคน ซึ่งรวมถึงการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้มีรายได้ประจำจากเงินเดือน แต่หากมีรายได้จากแหล่งอื่นร่วมด้วย เช่น รายได้จากการค้าขายหรือวิชาชีพอิสระ ก็จะต้องยื่นแบบฟอร์มอื่นที่เหมาะสมด้วย สารบัญ ภ.ง.ด. 91 คืออะไร? ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษี ภ.ง.ด. 91? กรณีมีรายได้อื่น ควรยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ควบคู่กับ ภ.ง.ด. 91 อย่างไร? ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์และเอกสารที่ต้องเตรียม การชำระภาษีเพิ่มเติมกรณียอดภาษีเกิน 3,000 บาท ผลการยื่นภาษีและการติดตามสถานะการคืนเงิน สิ่งสำคัญในการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 91 คืออะไร? ภ.ง.ด. 91 คือ แบบแสดงรายการภาษีสำหรับบุคคลที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว หากมีรายได้ประเภทอื่นเพิ่มเติม จะต้องยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ซึ่งครอบคลุมรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนด้วย ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษี ภ.ง.ด. 91? ผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนเกินเกณฑ์ : คนโสดที่มีรายได้จากเงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี และผู้ที่สมรสที่มีรายได้จากเงินเดือนตั้งแต่ 18,333 บาทต่อเดือน หรือ 220,000 บาทต่อปี ผู้มีรายได้ประเภทอื่นๆ : สำหรับผู้ที่มีรายได้ประเภทอื่น เช่น ค่าเช่า ค่าธรรมเนียม หรือรายได้จากการทำธุรกิจ ควรยื่นภาษีเพิ่มเติมในแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 กรณีมีรายได้อื่น ควรยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ควบคู่กับ ภ.ง.ด. 91 อย่างไร? สำหรับผู้มีรายได้หลายประเภท การยื่นภาษีต้องแยกให้ถูกต้อง หากมีรายได้จากเงินเดือนเป็นรายได้หลัก ควรยื่นแบบ ภ.ง.ด. 91 เป็นการแสดงรายได้เงินเดือน และเพิ่มการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 เพื่อครอบคลุมรายได้จากแหล่งอื่น เช่น วิชาชีพอิสระ การค้าขาย หรือรายได้อื่นๆ ระบบภาษีจะแสดงข้อมูลรวมทั้งหมด ทำให้คุณสามารถประเมินภาษีที่จะต้องชำระหรือขอคืนได้อย่างถูกต้อง ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์และเอกสารที่ต้องเตรียม การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถทำผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร โดยเตรียมเอกสารดังนี้ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ( ใบ 50 ทวิ ) : เอกสารที่แสดงรายได้จากนายจ้าง เอกสาร ลดหย่อนภาษี : เช่น ค่าลดหย่อนบิดามารดา ค่าประกันชีวิต และค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ข้อมูลการลงทุน : เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ RMF, LTF เพื่อใช้ในการลดหย่อนภาษี การชำระภาษีเพิ่มเติมกรณียอดภาษีเกิน 3,000 บาท หากมียอดภาษีที่ต้องชำระเกิน 3,000 บาท กรมสรรพากรมีนโยบายให้ผ่อนชำระภาษีได้โดยไม่มีดอกเบี้ย โดยสามารถผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 3 งวดเท่า ๆ กัน ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมมีดังนี้: วิธีการชำระ : สามารถเลือกชำระภาษีผ่าน QR Code, E-Payment, หรือบัตรเครดิตออนไลน์ได้ หรือจะเลือกใช้บริการชำระผ่าน Pay-In Slip หรือบริการ Counter Service ก็ได้เช่นกัน การแบ่งชำระแบบปลอดดอกเบี้ย : กรณียอดภาษีเกิน 3,000 บาทสามารถผ่อนชำระได้เป็น 3 งวด โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ต้องชำระภายในวันที่กำหนด มิฉะนั้นจะมีค่าปรับในอัตรา 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือนในยอดค้างชำระ ผลการยื่นภาษีและการติดตามสถานะการคืนเงิน หลังการยื่นแบบเสร็จสิ้น กรมสรรพากรจะออกเอกสารยืนยัน และหากมียอดภาษีที่ชำระเกิน ระบบจะทำการคืนภาษีทันที สามารถรับเงินคืนผ่านช่องทางพร้อมเพย์ หรือบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ สิ่งสำคัญในการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้เสียภาษีควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ยื่นตามเวลาที่กำหนด และตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องเพื่อลดโอกาสในการตรวจสอบซ้ำจากกรมสรรพากร การวางแผนภาษีอย่างเหมาะสมยังช่วยให้คุณสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มที่ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมบนเวปไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการยื่นภาษีและการจัดทำบัญชี iACC Professional ยินดีให้บริการอย่างมืออาชีพ ติดต่อเราได้ที่ iACC Professional  เพื่อขอคำปรึกษาและรับบริการด้านภาษีที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ โทร: 086-345-0265 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา www.iaccprofessional.com  เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม FAQ ภ.ง.ด. 91 คืออะไร? ภ.ง.ด. 91 เป็นแบบฟอร์มสำหรับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างเพียงอย่างเดียวในปีภาษีนั้นๆ หากคุณมีรายได้จากแหล่งอื่นเพิ่มเติม เช่น ค่าลิขสิทธิ์หรือรายได้จากธุรกิจส่วนตัว ควรใช้แบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 แทน ใครต้องยื่น ภ.ง.ด. 91 ? บุคคลที่มีรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างเพียงอย่างเดียว และมีรายได้รวมทั้งปีเกิน 60,000 บาท จำเป็นต้องยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 91 ภ.ง.ด. 91 แตกต่างจาก ภ.ง.ด. 90 อย่างไร? ภ.ง.ด. 91 ใช้สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ ภ.ง.ด. 90 ใช้สำหรับผู้ที่มีรายได้จากหลายแหล่ง เช่น ธุรกิจส่วนตัว ค่าลิขสิทธิ์ หรือรายได้จากการให้เช่า กำหนดเวลายื่น ภ.ง.ด. 91 คือเมื่อไร? โดยปกติ การยื่นแบบฟอร์มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องดำเนินการภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป หากยื่นผ่านระบบออนไลน์ อาจมีการขยายเวลาถึงวันที่ 8 เมษายนของปีถัดไป สามารถยื่น ภ.ง.ด. 91 ได้ที่ไหน? คุณสามารถยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 91 ได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่คุณมีภูมิลำเนา หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากรที่เว็บไซต์ www.rd.go.th  ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว.​

  • CPD คืออะไร? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีเก็บชั่วโมงให้ครบทุกปี

    CPD (Continuing Professional Development) หมายถึง การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพระยะยาว สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี เพื่อให้ทันเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติใหม่ ๆ ในงานบัญชีและภาษีอากร จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่นักบัญชีทุกคนที่ขึ้นทะเบียนเป็น “ผู้ทำบัญชี” หรือ “ผู้สอบบัญชี” จะต้องสะสมชั่วโมงการอบรมเพื่อรักษาสิทธิและคุณสมบัติของตนตามที่กฎหมายกำหนด CPD คืออะไร? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีเก็บชั่วโมงให้ครบทุกปี ความหมายของ CPD และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี (CPD) คือกระบวนการที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องเข้ารับการอบรม สัมมนา หรืองานวิชาการต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มพูนและอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบัญชีและภาษี โดยหลักเกณฑ์นี้ได้กำหนดไว้ใน ประกาศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พ.ศ. 2557 ตามมาตรา 7(6) แห่ง พ.ร.บ. การบัญชี พ.ศ. 2543 ซึ่งระบุว่า ผู้ทำบัญชีต้องมีการพัฒนาความรู้ ต่อเนื่องทางวิชาชีพอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (Federation of Accounting Professions – FAP) เป็นผู้กำหนดเนื้อหา กิจกรรม และจำนวนชั่วโมงของการพัฒนาความรู้นี้ ผู้ทำบัญชี (บัญชีรับอนุญาต) ต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปีปฏิทิน โดยต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับบัญชีอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง (ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง) ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อปี แบ่งเป็นชั่วโมงอบรมอย่างเป็นทางการ 20 ชั่วโมง (ต้องมีเนื้อหาบัญชีหรือสอบบัญชีอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง) และชั่วโมงอบรมไม่เป็นทางการอีก 20 ชั่วโมง กฎหมายนี้ยังกำหนดเงื่อนไขพิเศษสำหรับปีแรกที่ขึ้นทะเบียนด้วย เช่น ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีในช่วงครึ่งปีหลัง ก็เริ่มนับชั่วโมง CPD ในปีถัดไป เป็นต้น การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้อาจทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมาย ทำไมนักบัญชีถึงต้องทำ CPD การทำ CPD เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักบัญชี เพราะนอกจากเป็นข้อบังคับตามกฎหมายแล้ว ยังมีประโยชน์และคุณค่าในเชิงวิชาชีพ ดังนี้ รักษาคุณสมบัติและสภาพสมาชิก – การเก็บชั่วโมง CPD ครบตามเกณฑ์จะทำให้ผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชียังคงรักษาสถานะสมาชิกและคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ มิฉะนั้นจะถือว่า “ขาดคุณสมบัติ” และอาจถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกปรับตามกฎระเบียบของสภาวิชาชีพบัญชีได้ อัปเดตความรู้ทันสมัย – วิชาชีพบัญชีต้องปรับตัวกับมาตรฐานบัญชี (TFRS) ภาษีใหม่ เครื่องมือเทคโนโลยี และแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การทำ CPD ช่วยพัฒนาความรู้ด้านบัญชี ภาษี และธุรกิจอื่นๆ อย่างต่อเนื่องทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย เพิ่มศักยภาพในงาน – การเข้าร่วมอบรมหรือสัมมนาช่วยเสริมทักษะใหม่ ๆ ทั้งทางเทคนิคและจรรยาบรรณ เมื่อวิชาชีพเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจ การเรียนรู้ต่อเนื่องทำให้นักบัญชีพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพิ่มความน่าเชื่อถือและเครือข่าย – การแสดงว่าตนเองผ่านการอบรม CPD อย่างต่อเนื่องช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าผู้ทำบัญชีมีความเชี่ยวชาญและใส่ใจพัฒนาตนเอง นอกจากนี้ การอบรมรวมกลุ่มยังเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายวิชาชีพระหว่างกัน โดยสรุปคือ CPD เป็นเครื่องมือช่วยให้คุณภาพการทำงานของนักบัญชีดีขึ้น ทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กฎหมายบัญชีและสภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดไว้ รูปแบบของการทำ CPD สภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดรูปแบบกิจกรรมที่สามารถนับเป็นชั่วโมง CPD ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การอบรมหรือสัมมนา (Formal Training) – การเข้าอบรมหรือฟังสัมมนาในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพบัญชี (FAP) ทั้งแบบในห้องเรียนและรูปแบบ e-Learning ผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น หลักสูตรบัญชี ภาษีอากร การเงิน หรือจรรยาบรรณทางวิชาชีพ เป็นต้น โดยแต่ละหน่วยงานจัดอบรมจะระบุชั่วโมง CPD ที่ได้รับไว้ล่วงหน้า การเรียนรู้ออนไลน์ (Online Learning) – ปัจจุบันมีหลักสูตรออนไลน์ (e-Learning) สำหรับผู้ทำบัญชีที่ได้รับการอนุมัติจากสภาฯ เช่น หลักสูตรของ “CPD หรือ “ TFAC e-Learning ” ของสภาฯ โดยผู้เรียนสามารถสะสมชั่วโมง CPD ผ่านระบบออนไลน์ได้สะดวก กิจกรรมวิชาชีพอื่น ๆ (Non-formal CPD) – การอ่านหนังสือวิชาการ บทความวิชาชีพ การเข้าร่วมประชุมวิชาการ การทำวิจัย หรือการเป็นวิทยากรบรรยาย ก็สามารถนับเป็นชั่วโมง CPD แบบไม่เป็นทางการได้ ขณะที่ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต สามารถเก็บชั่วโมง CPD แบบไม่เป็นทางการ (non-formal) ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อปี หลักการสำคัญคือ หน่วยงานหรือสถาบันที่จัดอบรมหรือสัมมนา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาวิชาชีพบัญชี ก่อนเท่านั้น จึงจะนับชั่วโมง CPD ได้ นอกจากนี้ สภาฯ ยังมีประกาศระบุหน่วยงานผู้จัดอบรมหลักสูตร CPD ของผู้ทำบัญชีไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้เรียนมั่นใจได้ว่าเมื่ออบรมแล้วจะสามารถนำชั่วโมงไปยื่นรายงานกับสภาฯ ได้ จำนวนชั่วโมง CPD ต่อปีและระยะเวลาในการสะสม ผู้ทำบัญชี (Accountant) ต้องสะสมชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ต่อปีปฏิทิน โดยชั่วโมงเหล่านี้ต้องรวบรวมภายในวันที่ 31 ธันวาคมของปีนั้น และต้องมีเนื้อหาบัญชีอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (Certified Public Accountant, CPA) ต้องสะสมชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมง ต่อปี แบ่งเป็นชั่วโมงอบรมอย่างเป็นทางการ (Formal CPD) 20 ชั่วโมง (เนื้อหาต้องเกี่ยวกับบัญชี/สอบบัญชีไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง และจรรยาบรรณไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง) และชั่วโมงอบรมไม่เป็นทางการอีก 20 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากเป็นปีแรกที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพบัญชี สามารถคำนวณชั่วโมงตามสัดส่วนของเดือนที่ได้รับใบอนุญาตในปีนั้นโดยไม่ปัดเศษเดือน เช่น ถ้าได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ทำบัญชีในเดือนสิงหาคม จึงจะต้องเก็บชั่วโมง CPD เป็นสัดส่วนของ 5 เดือนสุดท้ายของปีนั้น ตัวอย่างการคำนวณ: ในกรณีเริ่มเป็นผู้ทำบัญชีในปี 2563 เก็บได้เพียง 5 ชั่วโมงไม่ครบตามเกณฑ์ เมื่อย้ายไปปี 2564 จึงต้องเก็บชั่วโมงเพิ่มเป็น 19 ชั่วโมง (คือ 12 ชม. ของปี 2564 บวก 7 ชม. ชดเชยปี 2563) วิธีการตรวจสอบและรายงานการทำ CPD ผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีรายงานชั่วโมง CPD ผ่านระบบออนไลน์ของสภาวิชาชีพบัญชี (TFAC e-Service) ซึ่งจะต้องดำเนินการดังนี้ เข้าใช้งาน TFAC e-Service ( www.fap.or.th หรือ eservice.tfac.or.th ) โดยลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีสมาชิกของตน กรอกจำนวนชั่วโมง CPD ที่สะสมได้ในแต่ละประเภท (บัญชี จรรยาบรรณ อื่นๆ) และแนบใบรับรอง หรือหลักฐานการอบรมที่ได้รับจากผู้จัดสัมมนาหรือผู้สอน (ถ้ามี) ส่งข้อมูลก่อนกำหนด – ผู้ทำบัญชีต้องยื่นแจ้งชั่วโมง CPD ภายในวันที่ 30 มกราคม ของปีถัดไป (นับจากปีที่อบรม) ส่วนผู้สอบบัญชีต้องยื่นภายในวันทำการสุดท้ายของปีนั้น ตรวจสอบสถานะ – หลังยื่นข้อมูลแล้ว สามารถตรวจสอบสถานะการยื่นฯ ผ่านระบบออนไลน์ของสภาฯ ได้ หากพบข้อขัดข้องให้ติดต่อสภาฯ โดยตรง การไม่ยื่นชั่วโมง CPD หรือยื่นไม่ครบตามกำหนดจะถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ และอาจต้องได้รับคำแนะนำหรือดำเนินการแก้ไขจากสภาวิชาชีพบัญชี ประโยชน์ที่นักบัญชีจะได้รับจากการทำ CPD ความรู้และทักษะที่ทันสมัย: เก็บชั่วโมง CPD ทำให้นักบัญชี ไม่ขาดคุณสมบัติ การเป็นผู้ทำบัญชีและเป็นการอัปเดตความรู้ด้านบัญชี ภาษี และเรื่องอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ การทำงานมีประสิทธิภาพ: การเรียนรู้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ช่วยให้นักบัญชีแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น และทำงานได้รวดเร็วถูกต้อง ส่งผลให้การจัดทำงบการเงินหรือการยื่นภาษีมีคุณภาพมากขึ้น ก้าวทันมาตรฐานวิชาชีพ: เมื่อมาตรฐานบัญชีและภาษีมีการปรับปรุงอยู่เสมอ CPD ช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพสอดคล้องกับแนวปฏิบัติล่าสุด ป้องกันข้อผิดพลาดจากการไม่รู้ พัฒนาเส้นทางอาชีพ: นอกจากช่วยในงานประจำ CPD ยังเป็นฐานการเติบโตในสายอาชีพให้กับนักบัญชี เช่น การพัฒนาความรู้ช่วยให้มีโอกาสได้รับตำแหน่งสูงขึ้น หรือขยายบทบาทไปสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษี CPD บัญชี คือหลักเกณฑ์การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องที่นักบัญชีทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาคุณภาพวิชาชีพและสิทธิในการเป็นผู้ทำบัญชีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยในแต่ละปีนักบัญชีต้องสะสมชั่วโมง CPD ให้ครบตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด ทั้งในรูปแบบอบรม สัมมนา หรือการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งการเข้าใจหลักเกณฑ์ วิธีการเก็บชั่วโมง และการวางแผนล่วงหน้า จะช่วยให้นักบัญชีสามารถรักษามาตรฐานวิชาชีพได้อย่างยั่งยืน และพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอยู่เสมอ FAQ CPD บัญชี คืออะไร? CPD บัญชี คือ การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี (Continuing Professional Development) ที่นักบัญชีต้องสะสมชั่วโมงการเรียนรู้และพัฒนาในแต่ละปีตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด เพื่อคงสถานภาพการประกอบวิชาชีพบัญชีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นักบัญชีต้องเก็บชั่วโมง CPD กี่ชั่วโมงต่อปี? นักบัญชีต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งต้องมีชั่วโมงด้านจรรยาบรรณไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง และสามารถเก็บได้ทั้งแบบอบรม สัมมนา หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง ถ้าไม่เก็บชั่วโมง CPD จะเกิดผลอย่างไร? หากนักบัญชีไม่เก็บชั่วโมง CPD ตามที่กำหนด อาจถูกพักหรือเพิกถอนสิทธิในการเป็นผู้ทำบัญชี ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย วิธีเก็บชั่วโมง CPD ทำได้อย่างไรบ้าง? สามารถเก็บชั่วโมง CPD ได้หลายวิธี เช่น เข้าร่วมอบรม สัมมนา เรียนออนไลน์ การศึกษาด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ที่สภาวิชาชีพบัญชีรับรอง หรือการสอนและการเป็นวิทยากรในหัวข้อวิชาชีพ

offical v3.1 small.png
bottom of page