top of page

CPD คืออะไร? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีเก็บชั่วโมงให้ครบทุกปี

  • รูปภาพนักเขียน: Thanuwat Khumkainam
    Thanuwat Khumkainam
  • 13 มิ.ย.
  • ยาว 2 นาที

CPD (Continuing Professional Development) หมายถึง การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพระยะยาว สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี เพื่อให้ทันเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติใหม่ ๆ ในงานบัญชีและภาษีอากร จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่นักบัญชีทุกคนที่ขึ้นทะเบียนเป็น “ผู้ทำบัญชี” หรือ “ผู้สอบบัญชี” จะต้องสะสมชั่วโมงการอบรมเพื่อรักษาสิทธิและคุณสมบัติของตนตามที่กฎหมายกำหนด

CPD (Continuing Professional Development) คืออะไร?
CPD คืออะไร? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีเก็บชั่วโมงให้ครบทุกปี

ความหมายของ CPD และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง


การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี (CPD) คือกระบวนการที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องเข้ารับการอบรม สัมมนา หรืองานวิชาการต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มพูนและอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบัญชีและภาษี โดยหลักเกณฑ์นี้ได้กำหนดไว้ใน ประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พ.ศ. 2557 ตามมาตรา 7(6) แห่ง พ.ร.บ. การบัญชี พ.ศ. 2543 ซึ่งระบุว่า ผู้ทำบัญชีต้องมีการพัฒนาความรู้ ต่อเนื่องทางวิชาชีพอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ทั้งนี้สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ (Federation of Accounting Professions – FAP) เป็นผู้กำหนดเนื้อหา กิจกรรม และจำนวนชั่วโมงของการพัฒนาความรู้นี้

  • ผู้ทำบัญชี (บัญชีรับอนุญาต) ต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปีปฏิทิน โดยต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับบัญชีอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง (ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง)

  • ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อปี แบ่งเป็นชั่วโมงอบรมอย่างเป็นทางการ 20 ชั่วโมง (ต้องมีเนื้อหาบัญชีหรือสอบบัญชีอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง) และชั่วโมงอบรมไม่เป็นทางการอีก 20 ชั่วโมง


กฎหมายนี้ยังกำหนดเงื่อนไขพิเศษสำหรับปีแรกที่ขึ้นทะเบียนด้วย เช่น ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีในช่วงครึ่งปีหลัง ก็เริ่มนับชั่วโมง CPD ในปีถัดไป เป็นต้น การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้อาจทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมาย


ทำไมนักบัญชีถึงต้องทำ CPD

การทำ CPD เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักบัญชี เพราะนอกจากเป็นข้อบังคับตามกฎหมายแล้ว ยังมีประโยชน์และคุณค่าในเชิงวิชาชีพ ดังนี้


  • รักษาคุณสมบัติและสภาพสมาชิก – การเก็บชั่วโมง CPD ครบตามเกณฑ์จะทำให้ผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชียังคงรักษาสถานะสมาชิกและคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ มิฉะนั้นจะถือว่า “ขาดคุณสมบัติ” และอาจถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกปรับตามกฎระเบียบของสภาวิชาชีพบัญชีได้

  • อัปเดตความรู้ทันสมัย – วิชาชีพบัญชีต้องปรับตัวกับมาตรฐานบัญชี (TFRS) ภาษีใหม่ เครื่องมือเทคโนโลยี และแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การทำ CPD ช่วยพัฒนาความรู้ด้านบัญชี ภาษี และธุรกิจอื่นๆ อย่างต่อเนื่องทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย

  • เพิ่มศักยภาพในงาน – การเข้าร่วมอบรมหรือสัมมนาช่วยเสริมทักษะใหม่ ๆ ทั้งทางเทคนิคและจรรยาบรรณ เมื่อวิชาชีพเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจ การเรียนรู้ต่อเนื่องทำให้นักบัญชีพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

  • เพิ่มความน่าเชื่อถือและเครือข่าย – การแสดงว่าตนเองผ่านการอบรม CPD อย่างต่อเนื่องช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าผู้ทำบัญชีมีความเชี่ยวชาญและใส่ใจพัฒนาตนเอง นอกจากนี้ การอบรมรวมกลุ่มยังเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายวิชาชีพระหว่างกัน


โดยสรุปคือ CPD เป็นเครื่องมือช่วยให้คุณภาพการทำงานของนักบัญชีดีขึ้น ทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กฎหมายบัญชีและสภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดไว้

รูปแบบของการทำ CPD


สภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดรูปแบบกิจกรรมที่สามารถนับเป็นชั่วโมง CPD ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การอบรมหรือสัมมนา (Formal Training) – การเข้าอบรมหรือฟังสัมมนาในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพบัญชี (FAP) ทั้งแบบในห้องเรียนและรูปแบบ e-Learning ผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น หลักสูตรบัญชี ภาษีอากร การเงิน หรือจรรยาบรรณทางวิชาชีพ เป็นต้น โดยแต่ละหน่วยงานจัดอบรมจะระบุชั่วโมง CPD ที่ได้รับไว้ล่วงหน้า

  • การเรียนรู้ออนไลน์ (Online Learning) – ปัจจุบันมีหลักสูตรออนไลน์ (e-Learning) สำหรับผู้ทำบัญชีที่ได้รับการอนุมัติจากสภาฯ เช่น หลักสูตรของ “CPD หรือ “TFAC e-Learning” ของสภาฯ โดยผู้เรียนสามารถสะสมชั่วโมง CPD ผ่านระบบออนไลน์ได้สะดวก

  • กิจกรรมวิชาชีพอื่น ๆ (Non-formal CPD) – การอ่านหนังสือวิชาการ บทความวิชาชีพ การเข้าร่วมประชุมวิชาการ การทำวิจัย หรือการเป็นวิทยากรบรรยาย ก็สามารถนับเป็นชั่วโมง CPD แบบไม่เป็นทางการได้ ขณะที่ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต สามารถเก็บชั่วโมง CPD แบบไม่เป็นทางการ (non-formal) ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อปี


หลักการสำคัญคือ หน่วยงานหรือสถาบันที่จัดอบรมหรือสัมมนา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาวิชาชีพบัญชี ก่อนเท่านั้น จึงจะนับชั่วโมง CPD ได้ นอกจากนี้ สภาฯ ยังมีประกาศระบุหน่วยงานผู้จัดอบรมหลักสูตร CPD ของผู้ทำบัญชีไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้เรียนมั่นใจได้ว่าเมื่ออบรมแล้วจะสามารถนำชั่วโมงไปยื่นรายงานกับสภาฯ ได้


จำนวนชั่วโมง CPD ต่อปีและระยะเวลาในการสะสม


  • ผู้ทำบัญชี (Accountant) ต้องสะสมชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ต่อปีปฏิทิน โดยชั่วโมงเหล่านี้ต้องรวบรวมภายในวันที่ 31 ธันวาคมของปีนั้น และต้องมีเนื้อหาบัญชีอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

  • ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (Certified Public Accountant, CPA) ต้องสะสมชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมง ต่อปี แบ่งเป็นชั่วโมงอบรมอย่างเป็นทางการ (Formal CPD) 20 ชั่วโมง (เนื้อหาต้องเกี่ยวกับบัญชี/สอบบัญชีไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง และจรรยาบรรณไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง) และชั่วโมงอบรมไม่เป็นทางการอีก 20 ชั่วโมง


ทั้งนี้ หากเป็นปีแรกที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพบัญชี สามารถคำนวณชั่วโมงตามสัดส่วนของเดือนที่ได้รับใบอนุญาตในปีนั้นโดยไม่ปัดเศษเดือน เช่น ถ้าได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ทำบัญชีในเดือนสิงหาคม จึงจะต้องเก็บชั่วโมง CPD เป็นสัดส่วนของ 5 เดือนสุดท้ายของปีนั้น ตัวอย่างการคำนวณ: ในกรณีเริ่มเป็นผู้ทำบัญชีในปี 2563 เก็บได้เพียง 5 ชั่วโมงไม่ครบตามเกณฑ์ เมื่อย้ายไปปี 2564 จึงต้องเก็บชั่วโมงเพิ่มเป็น 19 ชั่วโมง (คือ 12 ชม. ของปี 2564 บวก 7 ชม. ชดเชยปี 2563)


วิธีการตรวจสอบและรายงานการทำ CPD


ผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีรายงานชั่วโมง CPD ผ่านระบบออนไลน์ของสภาวิชาชีพบัญชี (TFAC e-Service) ซึ่งจะต้องดำเนินการดังนี้


  • เข้าใช้งาน TFAC e-Service (www.fap.or.th หรือ eservice.tfac.or.th) โดยลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีสมาชิกของตน

  • กรอกจำนวนชั่วโมง CPD ที่สะสมได้ในแต่ละประเภท (บัญชี จรรยาบรรณ อื่นๆ) และแนบใบรับรอง หรือหลักฐานการอบรมที่ได้รับจากผู้จัดสัมมนาหรือผู้สอน (ถ้ามี)

  • ส่งข้อมูลก่อนกำหนด – ผู้ทำบัญชีต้องยื่นแจ้งชั่วโมง CPD ภายในวันที่ 30 มกราคม ของปีถัดไป (นับจากปีที่อบรม) ส่วนผู้สอบบัญชีต้องยื่นภายในวันทำการสุดท้ายของปีนั้น

  • ตรวจสอบสถานะ – หลังยื่นข้อมูลแล้ว สามารถตรวจสอบสถานะการยื่นฯ ผ่านระบบออนไลน์ของสภาฯ ได้ หากพบข้อขัดข้องให้ติดต่อสภาฯ โดยตรง


การไม่ยื่นชั่วโมง CPD หรือยื่นไม่ครบตามกำหนดจะถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ และอาจต้องได้รับคำแนะนำหรือดำเนินการแก้ไขจากสภาวิชาชีพบัญชี


ประโยชน์ที่นักบัญชีจะได้รับจากการทำ CPD


  • ความรู้และทักษะที่ทันสมัย: เก็บชั่วโมง CPD ทำให้นักบัญชี ไม่ขาดคุณสมบัติ การเป็นผู้ทำบัญชีและเป็นการอัปเดตความรู้ด้านบัญชี ภาษี และเรื่องอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ

  • การทำงานมีประสิทธิภาพ: การเรียนรู้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ช่วยให้นักบัญชีแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น และทำงานได้รวดเร็วถูกต้อง ส่งผลให้การจัดทำงบการเงินหรือการยื่นภาษีมีคุณภาพมากขึ้น

  • ก้าวทันมาตรฐานวิชาชีพ: เมื่อมาตรฐานบัญชีและภาษีมีการปรับปรุงอยู่เสมอ CPD ช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพสอดคล้องกับแนวปฏิบัติล่าสุด ป้องกันข้อผิดพลาดจากการไม่รู้

  • พัฒนาเส้นทางอาชีพ: นอกจากช่วยในงานประจำ CPD ยังเป็นฐานการเติบโตในสายอาชีพให้กับนักบัญชี เช่น การพัฒนาความรู้ช่วยให้มีโอกาสได้รับตำแหน่งสูงขึ้น หรือขยายบทบาทไปสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษี


CPD บัญชี คือหลักเกณฑ์การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องที่นักบัญชีทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาคุณภาพวิชาชีพและสิทธิในการเป็นผู้ทำบัญชีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยในแต่ละปีนักบัญชีต้องสะสมชั่วโมง CPD ให้ครบตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด ทั้งในรูปแบบอบรม สัมมนา หรือการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งการเข้าใจหลักเกณฑ์ วิธีการเก็บชั่วโมง และการวางแผนล่วงหน้า จะช่วยให้นักบัญชีสามารถรักษามาตรฐานวิชาชีพได้อย่างยั่งยืน และพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอยู่เสมอ


FAQ

CPD บัญชี คืออะไร?

CPD บัญชี คือ การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี (Continuing Professional Development) ที่นักบัญชีต้องสะสมชั่วโมงการเรียนรู้และพัฒนาในแต่ละปีตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด เพื่อคงสถานภาพการประกอบวิชาชีพบัญชีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นักบัญชีต้องเก็บชั่วโมง CPD กี่ชั่วโมงต่อปี?

นักบัญชีต้องเก็บชั่วโมง CPD ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งต้องมีชั่วโมงด้านจรรยาบรรณไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง และสามารถเก็บได้ทั้งแบบอบรม สัมมนา หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง

ถ้าไม่เก็บชั่วโมง CPD จะเกิดผลอย่างไร?

หากนักบัญชีไม่เก็บชั่วโมง CPD ตามที่กำหนด อาจถูกพักหรือเพิกถอนสิทธิในการเป็นผู้ทำบัญชี ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วิธีเก็บชั่วโมง CPD ทำได้อย่างไรบ้าง?

สามารถเก็บชั่วโมง CPD ได้หลายวิธี เช่น เข้าร่วมอบรม สัมมนา เรียนออนไลน์ การศึกษาด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ที่สภาวิชาชีพบัญชีรับรอง หรือการสอนและการเป็นวิทยากรในหัวข้อวิชาชีพ


bottom of page