top of page

ค่าปรับไม่จด VAT รายได้เกิน 1.8 ล้าน: วิธีคิดและบทลงโทษที่ผู้ประกอบการควรรู้

  • รูปภาพนักเขียน: Thanuwat Khumkainam
    Thanuwat Khumkainam
  • 11 ก.ค.
  • ยาว 2 นาที
ค่าปรับไม่จด VAT รายได้เกิน 1.8 ล้าน: วิธีคิดและบทลงโทษที่ผู้ประกอบการควรรู้
ค่าปรับไม่จด VAT รายได้เกิน 1.8 ล้าน: วิธีคิดและบทลงโทษที่ผู้ประกอบการควรรู้

ทำไมการจดทะเบียน VAT จึงสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ?


การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก การจด VAT เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ หากผู้ประกอบการมีรายได้ถึงเกณฑ์แต่ไม่ดำเนินการจดทะเบียน อาจถูกตรวจสอบพบและเผชิญกับบทลงโทษทางภาษีที่รุนแรง ซึ่งประกอบด้วยเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และในบางกรณีอาจมีโทษทางอาญา. การหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนจึงเป็นการสร้างความเสี่ยงทางกฎหมายและทางการเงินให้กับธุรกิจ


ประการที่สอง การเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับกิจการในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงิน การมีใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ออกโดยกรมสรรพากร เป็นเครื่องยืนยันว่ากิจการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและโปร่งใส สามารถตรวจสอบสถานะและความมีตัวตนของผู้ประกอบการได้ตลอดเวลา. สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจให้กับผู้เกี่ยวข้อง แต่ยังสามารถเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่หรือคู่ค้าที่ต้องการใบกำกับภาษีสำหรับการดำเนินงานของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ


ประการที่สาม ซึ่งเป็นประโยชน์ทางการเงินที่สำคัญ คือกิจการที่จดทะเบียน VAT สามารถนำภาษีซื้อที่จ่ายไปจากการซื้อสินค้าหรือบริการมาหักออกจากภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าได้. หากภาษีซื้อสูงกว่าภาษีขาย ผู้ประกอบการก็มีสิทธิ์ขอคืนภาษีได้ การดำเนินการนี้ช่วยลดต้นทุนสินค้าหรือบริการลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจอีกด้วย สำหรับธุรกิจที่มีต้นทุนการผลิตหรือการจัดซื้อสินค้าสูง การขอคืนภาษีซื้อได้ถือเป็นข้อได้เปรียบทางการเงินที่สำคัญ ซึ่งสามารถส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดของกิจการ หากผู้ประกอบการไม่ได้จดทะเบียน VAT ภาษีซื้อที่จ่ายไปจะกลายเป็นภาระต้นทุนของกิจการที่ไม่สามารถขอคืนได้ ทำให้ต้นทุนโดยรวมสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อผลกำไร


เกณฑ์รายได้ 1.8 ล้านบาท: เมื่อไรที่ต้องจด VAT?


การนับรายได้เพื่อจดทะเบียน VAT

ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี การนับรายได้นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ปีปฏิทินเท่านั้น แต่เป็นการพิจารณาจากรายรับสะสมที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลา 12 เดือนใดๆ ก็ตาม เมื่อรายรับรวมจากการขายสินค้าหรือบริการทั้งหมด (ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและยังไม่หากำไร)  ถึงเกณฑ์ 1.8 ล้านบาทเมื่อใด ผู้ประกอบการก็มีหน้าที่ต้องดำเนินการจดทะเบียน VAT ทันที การทำความเข้าใจในจุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจทำให้ผู้ประกอบการพลาดกำหนดเวลาในการจดทะเบียน ซึ่งจะนำไปสู่การถูกปรับได้


ระยะเวลาที่ต้องจดทะเบียนเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์

เมื่อรายได้รวมสุทธิเกิน 1.8 ล้านบาท ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท. กำหนดเวลา 30 วันนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติตามกฎหมาย การพลาดกำหนดเวลานี้ถือเป็นสาเหตุโดยตรงของการถูกเรียกเก็บค่าปรับส่วนใหญ่ การเน้นย้ำถึงกรอบเวลาที่เข้มงวดนี้จึงเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการจะต้องติดตามรายได้ของตนอย่างใกล้ชิด


นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการและกิจการยังไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็มีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยสมัครใจ. การเลือกจดทะเบียนโดยสมัครใจนี้เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจที่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตในอนาคต หรือมีภาษีซื้อจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ การจดทะเบียน VAT ล่วงหน้าจะช่วยให้กิจการสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากการนำภาษีซื้อมาหักภาษีขายได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นการบริหารจัดการต้นทุนและกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ ก่อนที่การจดทะเบียน VAT จะกลายเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย

กิจการที่ได้รับการยกเว้น VAT

แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทจะต้องจดทะเบียน VAT แต่ก็มีบางกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม. การทราบถึงข้อยกเว้นเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความสมบูรณ์ของข้อมูลและเพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นต้องจดทะเบียนโดยไม่จำเป็น หรือเกิดความกังวลโดยไม่สมเหตุสมผล


ตัวอย่างกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ การขายพืชผลทางการเกษตรที่ยังไม่แปรรูป สัตว์ อาหารสัตว์ ปุ๋ย หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน. การทำความเข้าใจในข้อยกเว้นเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินสถานะทางภาษีของตนเองได้อย่างถูกต้อง และมั่นใจว่าปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรมสรรพากรได้อย่างเหมาะสม


วิธีคิดค่าปรับไม่จด VAT: เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับอาญา



วิธีคิดค่าปรับไม่จด VAT: เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับอาญา


เบี้ยปรับ

เบี้ยปรับจะถูกเรียกเก็บในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด, ยื่นแบบไม่ถูกต้อง, หรือไม่จดทะเบียน VAT เมื่อมีหน้าที่จดทะเบียน. สำหรับกรณีการไม่จดทะเบียน VAT เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์และถูกตรวจสอบพบ ผู้ประกอบการจะต้องเสียเบี้ยปรับในอัตรา 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ. อัตรา 2 เท่านี้เป็นอัตราสูงสุดหรืออัตราพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรมีหลักเกณฑ์ในการลดหย่อนเบี้ยปรับเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว


การลดหย่อนเบี้ยปรับตามระยะเวลา

การลดหย่อนเบี้ยปรับจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ผู้ประกอบการดำเนินการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มที่ค้างชำระหลังจากครบกำหนดเวลา โดยมีอัตราการลดหย่อนดังนี้

  • หากชำระภายใน 15 วันหลังจากครบกำหนดเวลา ยื่นแบบ ภ.พ.30 จะเสียเบี้ยปรับร้อยละ 2 ของเบี้ยปรับสูงสุด

  • หากชำระภายใน 16-30 วัน จะเสียเบี้ยปรับร้อยละ 5 ของเบี้ยปรับสูงสุด

  • หากชำระภายใน 31-60 วัน จะเสียเบี้ยปรับร้อยละ 10 ของเบี้ยปรับสูงสุด

  • หากชำระหลัง 60 วันไปแล้ว จะเสียเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของเบี้ยปรับสูงสุด


เงินเพิ่ม

เงินเพิ่มคือดอกเบี้ยที่กรมสรรพากรเรียกเก็บจากจำนวนภาษีที่ชำระล่าช้า. อัตราการคิดเงินเพิ่มอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระทั้งสิ้น. เศษของเดือนจะนับเป็น 1 เดือนเต็ม


การคำนวณเงินเพิ่มจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ซึ่งโดยปกติคือวันที่ 15 ของเดือนถัดไป) ไปจนถึงวันที่ชำระภาษีจริง. สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ เงินเพิ่มที่คำนวณได้จะไม่ให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องชำระหรือนำส่ง. นอกจากนี้ หากไม่มีภาษีที่ต้องเสีย ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มในส่วนนี้


ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเงินเพิ่มและเบี้ยปรับคือ เงินเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่ล่าช้า ซึ่งหมายความว่ายิ่งผู้ประกอบการชำระภาษีล่าช้าเท่าไร ภาระเงินเพิ่มก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นี่เป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เนื่องจากค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจะมีการชำระภาษีที่ค้างอยู่


ค่าปรับอาญา

ค่าปรับอาญาเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด มักจะถูกนำมาใช้ในกรณีที่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ปลอมแปลงเอกสาร หรือหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่. สำหรับการไม่จดทะเบียน VAT ในกรณีที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่จดทะเบียน แต่กลับประกอบกิจการโดยไม่จดทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


แม้ว่าจำนวนเงินค่าปรับอาญาอาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่อาจเกิดขึ้น แต่ผลกระทบที่สำคัญที่สุดคือการมีประวัติอาชญากรรมและโอกาสในการถูกจำคุก ซึ่งเป็นความแตกต่างเชิงคุณภาพจากบทลงโทษทางการเงิน การมีประวัติอาชญากรรมสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตส่วนตัวและอาชีพของผู้ประกอบการในระยะยาว ซึ่งเป็นการย้ำเตือนถึงผลกระทบทางกฎหมายที่ร้ายแรงนอกเหนือจากภาระทางการเงิน


ตัวอย่างการคำนวณค่าปรับไม่จด VAT (กรณีศึกษา)

สถานการณ์สมมุติ

ธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทในเดือนมีนาคม 2567 (เช่น รายได้สะสมถึง 1.8 ล้านบาทในวันที่ 15 มีนาคม 2567). ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องจด VAT ภายใน 30 วันนับจากนั้น คือภายในวันที่ 14 เมษายน 2567 แต่ผู้ประกอบการไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียน และเพิ่งมาจดทะเบียนย้อนหลังในวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 หลังจากถูกตรวจสอบพบว่ามียอดขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสีย VAT ในช่วงที่ไม่ได้จดทะเบียน (เมษายน – มิถุนายน 2567) รวม 3,000,000 บาท


รายการ

รายละเอียดการคำนวณ

จำนวนเงิน (บาท)

1. ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระย้อนหลัง

ยอดขาย x 7%

3,000,000 บาท x 7%

210,000

2. เบี้ยปรับ (Penalty)



    เบี้ยปรับสูงสุด

ภาษีขาย x 2 เท่า

210,000 บาท x 2

420,000

    ระยะเวลาล่าช้า

จากวันที่ต้องจดทะเบียน (14 เม.ย. 67) ถึงวันที่ยื่นจดทะเบียนย้อนหลัง (15 ก.ค. 67) = เกิน 60 วัน (ประมาณ 91 วัน)


    อัตราเบี้ยปรับที่ต้องชำระ

20% ของเบี้ยปรับสูงสุด (เนื่องจากล่าช้าเกิน 60 วัน)


    เบี้ยปรับที่ต้องชำระจริง

420,000 บาท x 20%

84,000

3. เงินเพิ่ม (Surcharge)

คิด 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระของแต่ละเดือนที่ล่าช้า


    ภาษีขายเดือนเมษายน (70,000 บาท)

ควรยื่น 15 พ.ค. 67 แต่ยื่น 15 ก.ค. 67 (ล่าช้า 2 เดือน)

70,000 x 1.5% x 2 เดือน

2,100

    ภาษีขายเดือนพฤษภาคม (70,000 บาท)

ควรยื่น 15 มิ.ย. 67 แต่ยื่น 15 ก.ค. 67 (ล่าช้า 1 เดือน)

70,000 x 1.5% x 1 เดือน

1,050

    ภาษีขายเดือนมิถุนายน (70,000 บาท)

ควรยื่น 15 ก.ค. 67 (ยื่นตรงกำหนด)

0

    รวมเงินเพิ่มทั้งหมด

2,100 + 1,050 + 0

3,150

รวมค่าปรับทั้งหมด

ภาษีที่ต้องชำระย้อนหลัง + เบี้ยปรับ + เงินเพิ่ม

210,000 + 84,000 + 3,150

297,150

ค่าปรับอาญา

ปรับไม่เกิน 5,000 บาท (ยังไม่รวมในยอดรวมข้างต้น)

ไม่เกิน 5,000

ตัวอย่างการคำนวณนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภาระทางการเงินจากการไม่จดทะเบียน VAT อาจสูงถึงหลักแสนบาท ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงผลกระทบที่สำคัญและเป็นรูปธรรม การคำนวณนี้ยังแสดงให้เห็นถึงผลกระทบสะสมของ "เงินเพิ่ม" และโอกาสในการลด "เบี้ยปรับ" หากดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด การทำความเข้าใจในตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความเร่งด่วนในการปฏิบัติตามกฎหมาย



ข้อดีและประโยชน์ของการจดทะเบียน VAT ที่ผู้ประกอบการควรรู้


นอกเหนือจากการหลีกเลี่ยงบทลงโทษแล้ว การจดทะเบียน VAT ยังนำมาซึ่งข้อดีและประโยชน์หลายประการที่ส่งเสริมการเติบโตและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ


ความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ

การเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือของกิจการในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงิน. การมีใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) และการอยู่ในระบบที่สามารถตรวจสอบได้โดยกรมสรรพากร เป็นเครื่องยืนยันสถานะการดำเนินงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย


การขอคืนภาษีซื้อ

กิจการที่จดทะเบียน VAT สามารถนำภาษีซื้อที่จ่ายไปจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับกิจการมาหักออกจากภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าได้. การดำเนินการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระภาษีที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้กิจการได้รับคืนภาษีหากภาษีซื้อสูงกว่าภาษีขาย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสูง หรือมีปริมาณการซื้อสินค้าและวัตถุดิบจำนวนมาก



ขั้นตอนการจดทะเบียน VAT


เมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ 1.8 ล้านบาท ผู้ประกอบการควรดำเนินการจด VAT โดยเร็วที่สุดภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกินเกณฑ์. การดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยลดความซับซ้อนและอุปสรรคในการปฏิบัติตามกฎหมาย


เอกสารและขั้นตอนที่จำเป็น

  1. ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร หรือขอรับได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่

  2. เตรียมเอกสารประกอบ

    • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ

    • เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ระบุชื่อและที่อยู่ของเจ้าของ (กรณีเช่า)

    • หนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ (กรณีเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ให้ใช้)

    • หนังสือเดินทางและใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นคนต่างด้าว)

    • ภาพถ่ายหนังสือการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ กองทุน มูลนิธิที่มิใช่นิติบุคคล หรือเอกสารการดำเนินกิจการร่วมค้า (ถ้ามี)

  3. ยื่นคำขอ สามารถยื่นคำขอได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการหลักตั้งอยู่ หรืออาจมีช่องทางออนไลน์ของกรมสรรพากรในบางกรณี


สรุปและคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ


การไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีบทลงโทษที่รุนแรงและซับซ้อน ทั้งทางแพ่งในรูปแบบของเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามระยะเวลาที่ล่าช้า และทางอาญาที่อาจมีโทษจำคุกและค่าปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะทางกฎหมายส่วนบุคคลและชื่อเสียงของกิจการ การทำความเข้าใจเกณฑ์การจดทะเบียน วิธีการคำนวณค่าปรับ และการดำเนินการที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและไร้กังวล


หากคุณไม่แน่ใจว่าต้องจด VAT หรือไม่ หรืออยากปรึกษาวิธีแก้ไขภาษีย้อนหลังอย่างถูกต้อง

iACC Professional ยินดีให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีค่ะ


📞 086-345-0265

bottom of page