คู่มือภาษีสำหรับ Influencer มือใหม่ และผู้มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
- Thanuwat Khumkainam
- 4 วันที่ผ่านมา
- ยาว 3 นาที
อัปเดตเมื่อ 4 วันที่ผ่านมา

เหตุผลที่ Influencer ควรรู้เรื่องภาษี
ทุกวันนี้อาชีพ Influencer (อินฟลูเอนเซอร์) ได้รับความนิยมมาก ไม่ว่าจะสายรีวิวสินค้า ท่องเที่ยว เกม หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์อื่น ๆ เพราะนอกจากจะได้ทำสิ่งที่รักแล้ว หลายคนยังมีรายได้ดีจนกลายเป็นเศรษฐีใหม่แบบไม่รู้ตัว แต่เมื่อมีรายได้ก็ต้องมีภาษีที่ต้องจัดการด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นอินฟลูมือใหม่หรือมือโปรที่มีหลายช่องทางหาเงิน หากรายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ก็มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลการถูกเรียกตรวจสอบย้อนหลังในภายหลัง บทความนี้จึงเป็นเสมือนคู่มือภาษีแบบเข้าใจง่ายสำหรับ Influencer โดยเฉพาะ เราจะพาไปดูกันว่าอินฟลูเอนเซอร์แบบคุณต้องเสียภาษีอะไรบ้าง? เสียเท่าไหร่? ยื่นเมื่อไหร่? พร้อมคำแนะนำการวางแผนภาษีที่จะช่วยให้คุณจัดการภาษีได้แบบชิล ๆ และทำงานสร้างสรรค์ได้อย่างสบายใจ
ประเภทของรายได้ของ Influencer
รายได้ของ Influencer มาจากหลากหลายช่องทาง ทั้งค่าจ้างและรายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งแต่ละประเภทอาจมีวิธีเสียภาษีต่างกัน ในคู่มือภาษี 2568 กรมสรรพากรได้สรุปไว้ว่า รายได้ส่วนใหญ่ของอินฟลูเอนเซอร์มักมาจากช่องทางดังต่อไปนี้
แหล่งรายได้หลักของ Influencer มักมาจากหลายช่องทาง เช่น สปอนเซอร์รีวิวสินค้า, รายได้โฆษณา, ขายสินค้าของตัวเอง, งานอีเวนต์, ค่าธรรมเนียมสมาชิก, Affiliate, ให้คำปรึกษา/เปิดคอร์ส และขายคอนเทนต์
สปอนเซอร์และรีวิวสินค้า (Brand Sponsorship & Paid Reviews) ค่าจ้างโปรโมตสินค้า/บริการให้แบรนด์
รายได้จากโฆษณา (Ads Revenue) รายได้จากโฆษณาบนแพลตฟอร์ม เช่น YouTube (ค่าโฆษณา AdSense), Facebook, TikTok เป็นต้น
การขายสินค้าของตัวเอง (Merchandise & Own Products) รายได้จากการขายสินค้า/ผลิตภัณฑ์ของอินฟลูเอนเซอร์เอง
ค่าธรรมเนียมสมาชิก (Subscription & Exclusive Content) รายได้จากค่าสมาชิกหรือคอนเทนต์พิเศษที่ผู้ติดตามจ่ายให้
รายได้จากงานอีเวนต์ (Event & Appearance Fees) ค่าจ้างไปปรากฏตัวในงานอีเวนต์ หรือเป็นวิทยากร/พิธีกรตามงานต่าง ๆ
รายได้จาก Affiliate Marketing ค่าคอมมิชชั่นจากการโปรโมตสินค้าของผู้อื่นผ่านลิงก์ Affiliate
รายได้จากการให้คำปรึกษาหรือเปิดคอร์ส (Coaching & Courses) ค่าบริการให้คำปรึกษาส่วนตัว หรือรายได้จากการเปิดคอร์สอบรมออนไลน์
รายได้จากการเขียนหนังสือหรือขายคอนเทนต์ ค่าตอบแทนจากการเขียนหนังสือ, บทความ, E-book หรือขายคอนเทนต์ดิจิทัลอื่น ๆ

ปัจจุบันกรมสรรพากรยังไม่มีหลักเกณฑ์ภาษีพิเศษเฉพาะสำหรับอาชีพ Influencer รายได้แต่ละรูปแบบจึงต้องเทียบเข้ากับประเภทเงินได้ที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ค่าสปอนเซอร์/รีวิวสินค้า มักถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 (ค่าจ้างทำของ/บริการที่ไม่ได้เป็นพนักงาน) ซึ่งหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) ส่วนรายได้จากโฆษณาหรือขายของออนไลน์ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (เงินได้จากธุรกิจ/การค้าฯ) ซึ่งหักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 60% หรือเลือกหักตามจริงก็ได้ ทั้งนี้การทราบว่ารายได้แต่ละก้อนเข้าข่ายประเภทใดจะช่วยให้เราคำนวณภาษีเงินได้และภาษีอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้องต่อไป
ภาษีที่เกี่ยวข้องสำหรับ Influencer
เมื่อต้องเสียภาษี รายได้ของ Influencer จะเกี่ยวข้องกับภาษีหลัก ๆ อยู่สามประเภท ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีหัก ณ ที่จ่าย, และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เราจะมาอธิบายแต่ละประเภทดังนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
คือภาษีหลักที่อินฟลูเอนเซอร์ทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำนวณจากรายได้สุทธิทั้งปีของเรา โดยนำรายได้ทั้งหมดมาหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้วจึงคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า (ยิ่งรายได้สุทธิมาก อัตราภาษีก็สูงขึ้น เป็นขั้นบันไดสูงสุดที่ 35%)
เบื้องต้นมีกฎเกณฑ์สำคัญที่ควรรู้ดังนี้
เกณฑ์รายได้ที่ต้องยื่นภาษี คนโสดที่มีรายได้ทั้งปีเกิน 60,000 บาท หรือคู่สมรสมีรายได้รวมกันเกิน 120,000 บาท ต่อปี ถือว่าต้องยื่นแบบและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หมายความว่าถ้ารายได้ยังไม่ถึง 60,000 ก็ยื่นแบบไว้ได้ โดยไม่มีภาระภาษี)
ยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง โดยปกติผู้มีเงินได้ประเภทฟรีแลนซ์/ธุรกิจ (มาตรา 40(5)-(8)) อย่างรายได้อินฟลูเอนเซอร์ ต้องยื่นภาษีกลางปีและปลายปี ได้แก่ ภ.ง.ด.94 (กลางปี) สำหรับรายได้เดือน ม.ค.–มิ.ย. ยื่นภายใน 1 ก.ค.–30 ก.ย. ของปีนั้น และ ภ.ง.ด.90 (ปลายปี) สำหรับรายได้ทั้งปี ยื่นภายใน 1 ม.ค.–31 มี.ค. ของปีถัดไป ยื่นออนไลน์ผ่านเว็บไซต์สรรพากรได้เวลาขยายเพิ่มอีก 8 วัน)
การหักค่าใช้จ่าย รายได้จากการเป็น Influencer สามารถหักค่าใช้จ่ายได้สองวิธี คือ แบบเหมา (ตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด เช่น 60% หรือ 50% ตามประเภทเงินได้) หรือ ตามจริง (รวบรวมใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาหัก) ขึ้นอยู่กับว่าแบบใดให้ประโยชน์สูงสุดและมีหลักฐานเพียงพอ ตัวอย่างเช่น หากเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือโฆษณา (ถือเป็นเงินได้ประเภท 8) กฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% แต่ถ้าเป็นค่าจ้างรีวิวที่เข้าข่ายเงินได้ประเภท 2 จะหักได้ 50% (ไม่เกิน 100,000 บาท) เป็นต้น
วิธีคำนวณภาษี เมื่อนับรวมรายได้ทั้งปี (หรือทั้งครึ่งปีสำหรับการยื่นกลางปี) แล้วหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ จะได้ “เงินได้สุทธิ” ซึ่งนำมาคำนวณภาษีตามขั้นอัตราก้าวหน้า (เริ่ม 5% เมื่อเกิน 150,000 บาทแรก เป็นต้นไป สูงสุด 35% สำหรับส่วนที่เกิน 5 ล้านบาท)
กฎ 0.5% ของรายได้ เพื่อความเป็นธรรม กฎหมายมีการ คำนวณภาษีวิธีทางเลือก สำหรับผู้มีรายได้จากธุรกิจ/ฟรีแลนซ์ (มาตรา 40(2) และ 40(8)) ที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี ให้คำนวณภาษีจาก เงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย 0.5% เปรียบเทียบกับวิธีปกติที่คำนวณจากเงินได้สุทธิ โดยให้เสียภาษีตามวิธีที่คำนวณได้ ยอดสูงกว่า (ถ้าวิธีคำนวณ 0.5% นี้ออกมา < 5,000 บาท ก็ให้ยกเว้นไปและเสียตามวิธีปกติ) หมายความว่าหากเรามีรายได้มากและหักค่าใช้จ่ายเยอะเป็นพิเศษ ก็อาจต้องเสียภาษีขั้นต่ำประมาณ 0.5% ของรายได้ด้วยในกรณีรายได้สูง
(ตัวอย่าง) หากทั้งปีคุณมีรายได้จากงานอินฟลู 500,000 บาท และเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% (300,000 บาท) จะเหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 200,000 บาท เมื่อหักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท จะเหลือเงินได้สุทธิ 140,000 บาท ซึ่งในกรณีนี้ ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเงินได้สุทธิต่ำกว่า 150,000 บาทแรก แต่เนื่องจากรายได้ก่อนหักของคุณคือ 500,000 บาท (เกิน 120,000) กฎหมายกำหนดให้ลองคำนวณภาษีอีกวิธี: 0.5% ของ 500,000 = 2,500 บาท ซึ่งไม่เกิน 5,000 บาท ดังนั้นคุณยังคงเสียภาษี 0 บาท ตามวิธีปกติ แต่ก็ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ไว้ตามกฎหมาย
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีอีกประเภทที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์จะพบเจอบ่อยคือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเรารับค่าจ้างจากบริษัท, แบรนด์สินค้าหรือเอเจนซี่ต่าง ๆ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ หักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย ก่อนจะโอนเงินค่าจ้างจริงให้เรา แล้วนำส่งภาษีส่วนนั้นแทนเราเข้ากรมสรรพากร โดยทั่วไปค่าจ้างทำงานต่าง ๆ ของ Influencer มักถูกหักไว้ในอัตรา 3% หรือ 5% ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน เช่น จ้างผลิตสื่อ/รีวิวสินค้า หัก 3% จ้างไปออกอีเวนต์หรือเป็นพิธีกร หัก 5% เป็นต้น
เมื่อถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้ว่าจ้างจะออกหลักฐานคือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ให้เราไว้ใช้ตอนยื่นภาษีประจำปีด้วย โดยเงินภาษีที่ถูกหักไว้ล่วงหน้านี้ถือเป็น เครดิตภาษี ของเรา สามารถนำไปหักออกจากภาษีเงินได้ที่เราคำนวณได้ตอนปลายปี (ช่วยลดภาระที่ต้องจ่ายเพิ่ม) หรือถ้าหักไว้เกินความจำเป็นเราก็มีสิทธิยื่นขอคืนภาษีส่วนเกินนั้นกลับมาได้ ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทโอนค่าจ้างงานรีวิวสินค้าให้คุณ 10,000 บาท โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% (300 บาท) ไว้ คุณจะได้รับเงินจริง 9,700 บาท และได้ใบ 50 ทวิระบุว่าถูกหักภาษี 300 บาท เมื่อสิ้นปีคุณต้องนำรายได้ 10,000 บาท (เต็มจำนวนก่อนหัก) ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ตามปกติ แต่คุณสามารถนำ 300 บาท ที่ถูกหักไว้นั้นมาเครดิตหักออกจากภาษีที่คำนวณได้อีกทีหนึ่ง เช่น ถ้าคำนวณภาษีทั้งปีได้ 5,000 บาท ก็หัก 300 บาทนี้ออก เหลือจ่ายจริง 4,700 บาท เป็นต้น (หรือถ้าภาษีคำนวณได้น้อยกว่าที่ถูกหักไว้ ก็ขอคืนส่วนต่างได้)
คำแนะนำ: สำหรับงานจ้างทุกชิ้นที่มีการหัก ณ ที่จ่าย อย่าลืมขอใบ 50 ทวิจากผู้จ้างทุกครั้ง และเก็บรวบรวมไว้ให้ครบถ้วนเพื่อใช้ยื่นภาษีตอนสิ้นปี เพราะถ้าไม่มีใบนี้จะเท่ากับคุณเสียภาษีซ้ำซ้อนโดยไม่สามารถขอคืนได้นั่นเอง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หลายคนอาจคิดว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นเรื่องของบริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ความจริงคือ อินฟลูเอนเซอร์หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องจด VAT เช่นกัน โดยกฎหมายกำหนดว่า ถ้ามีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (นับรวมทุกช่องทางรายได้ของเรา) ผู้ประกอบการจะต้องเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม คือยื่นคำขอ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) กับกรมสรรพากรภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกินเกณฑ์นั้น การจดทะเบียนทำได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่หรือจะยื่นออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรก็ได้
สำหรับ Influencer ซึ่งถือว่า ประกอบกิจการให้บริการ (เช่น รับจ้างผลิตคอนเทนต์, รีวิวหรือโปรโมทสินค้า ฯลฯ) รายได้จากงานลักษณะนี้เข้าข่ายต้องเสีย VAT เมื่อเกินเกณฑ์ 1.8 ล้านบาท/ปี โดยไม่ต้องรอให้ครบ 12 เดือน ถ้าเดือนใดรวมยอดแล้วเกินก็ต้องจดภายใน 30 วันหลังจากนั้นทันที เมื่อจดทะเบียนแล้ว เราต้องเรียกเก็บ VAT เพิ่ม 7% จากลูกค้า/ผู้ว่าจ้าง ในทุก ๆ การขายสินค้าหรือบริการ และเรามีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.30) เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยในการยื่นแบบแต่ละครั้ง เราสามารถนำ VAT ซื้อ (ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เราจ่ายไปกับค่าใช้จ่ายธุรกิจ เช่น ค่าวัสดุอุปกรณ์, ค่าโฆษณา เป็นต้น) มาหักออกจาก VAT ขาย (ภาษีที่เราเรียกเก็บจากลูกค้า) แล้วจ่ายเฉพาะส่วนต่างให้กรมสรรพากร
หมายเหตุ: หากรายได้ของคุณยังไม่ถึงเกณฑ์ 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็ยังไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน VAT (ผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์เรียกว่า “ได้รับการยกเว้น VAT”) แต่คุณสามารถเลือกจดทะเบียนเข้าระบบ VAT โดยสมัครใจได้เช่นกัน ทั้งนี้เมื่อเข้าอยู่ในระบบ VAT แล้ว คุณต้องจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบและยื่นภาษีทุกเดือน ดังนั้นควรพิจารณาความพร้อมให้ดีก่อนจดทะเบียน
การวางแผนภาษีที่เหมาะสมสำหรับ Influencer
การวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ Influencer จัดการเรื่องภาษีได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่จะทำผิดพลาด มาดูเคล็ดลับการวางแผนภาษีที่เหมาะสมสำหรับอินฟลูเอนเซอร์มือใหม่และคนที่กำลังมีรายได้สูงกัน
แยกบัญชีรายรับ-รายจ่าย – ควรแยกบัญชีธนาคารหรือกระเป๋าเงินสำหรับรายได้จากงานอินฟลูออกจากบัญชีส่วนตัว เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามรายรับรายจ่าย ควรจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ บันทึกเงินที่ได้รับและค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปทุกเดือนอย่างละเอียด การมีบันทึกที่ชัดเจนจะช่วยให้การยื่นภาษีถูกต้องและง่ายขึ้นมาก
เก็บเอกสารและหลักฐานให้ครบถ้วน – รักษาใบเสร็จค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการทำงานของคุณทุกใบ (เช่น ค่ากล้องและอุปกรณ์, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าเดินทาง ฯลฯ) เผื่อกรณีที่ต้องใช้หักค่าใช้จ่ายตามจริง นอกจากนี้ใบกำกับภาษีซื้อ (สำหรับผู้ที่จด VAT แล้ว) และใบ 50 ทวิจากผู้ว่าจ้างแต่ละราย ก็ควรเก็บรวบรวมไว้ไม่ให้สูญหาย เพราะเอกสารเหล่านี้สำคัญต่อการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและการยื่นขอคืนภาษี
ประเมินรายได้ใกล้เคียงเกณฑ์ VAT – ถ้ารายได้ของคุณเริ่มเข้าใกล้ 1.8 ล้านบาท/ปี ให้เริ่มศึกษาการจดทะเบียน VAT และเตรียมพร้อมเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ (สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, เอกสารแจ้งที่ตั้งสถานประกอบการ เป็นต้น) รวมถึงวางแผนการแจ้งราคาค่าจ้าง/ค่าสินค้าให้ครอบคลุม VAT ที่จะต้องเก็บเพิ่ม (เช่น อาจแจ้งเป็น “ยังไม่รวม VAT” ไว้ล่วงหน้า) เพื่อป้องกันการแบกรับ VAT เอง หากรายได้ถึงเกณฑ์เมื่อใดควรรีบจดทะเบียนภายใน 30 วันที่กำหนดทันที เพื่อหลีกเลี่ยงเบี้ยปรับและเงินเพิ่มกรณีจดล่าช้า
พิจารณาจดทะเบียนบริษัทเมื่อเหมาะสม – หากคุณเริ่มมีรายได้สูงมาก (เช่น หลายล้านบาทต่อปี) มีทีมงานหรือมีแผนขยายธุรกิจ การจดทะเบียนบริษัท (นิติบุคคล) อาจเป็นทางเลือกที่ดี ทั้งในแง่ภาพลักษณ์ทางธุรกิจและอัตราภาษีที่อาจต่ำกว่าบุคคลธรรมดาในกรณีรายได้สูง (ภาษีนิติบุคคลคิดเป็นอัตราคงที่ 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งเทียบเท่าอัตราภาษีบุคคลช่วงกลาง ๆ เท่านั้น) นอกจากนี้รายจ่ายบางอย่างของกิจการอาจนำมาหักภาษีได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทมีภาระตามมา ได้แก่ การทำบัญชีและยื่นภาษีในนามนิติบุคคล ที่เคร่งครัดกว่าเดิม ต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี 13 หลักของบริษัท, จัดทำงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งกลางปี (แบบ ภ.ง.ด.51) และปลายปี (แบบ ภ.ง.ด.50) ทุกปี รวมถึงต้องยื่นแบบภาษีประจำเดือนต่าง ๆ (VAT, ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของพนักงาน ฯลฯ) ด้วย จึงควรชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและปรึกษานักบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจจดบริษัท

สรุปและคำแนะนำ
การเสียภาษีสำหรับ Influencer มือใหม่อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่หากเราเข้าใจหลักการพื้นฐานและเตรียมตัวให้พร้อม การยื่นภาษีจะกลายเป็นเรื่องง่าย ที่สามารถจัดการได้อย่างสบายใจ ในการเป็น Influencer ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่สร้างสรรค์คอนเทนต์เก่ง แต่ควรรู้จักบริหารจัดการรายได้และภาษีของตนเองอย่างมืออาชีพด้วย ดังนั้นขอสรุป เคล็ดลับสำคัญ ที่อินฟลูเอนเซอร์ทุกคนควรจำไว้ ได้แก่
ยื่นภาษีให้ตรงเวลา ทำเครื่องหมายปฏิทินช่วงเวลายื่น ภ.ง.ด.94 (ก.ค.–ก.ย.) และ ภ.ง.ด.90 (ม.ค.–มี.ค.) ของทุกปี และอย่าลืมว่าถ้ายื่นออนไลน์จะมีเวลาเพิ่มมาอีกเล็กน้อย
เก็บรายรับ-รายจ่ายและใบเสร็จต่าง ๆ ให้ครบ บันทึกรายได้ที่เข้ามาและค่าใช้จ่ายที่จ่ายออกไป พร้อมเก็บหลักฐานทุกครั้ง การทำบัญชีที่ดีจะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนได้เต็มที่และเผื่อเหลือเผื่อขาดในการวางแผนภาษี
ขอใบ 50 ทวิทุกครั้งที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นสิทธิของผู้ถูกหัก อย่าเกรงใจที่จะขอจากผู้จ้าง และตรวจสอบว่าในใบระบุเงินได้และภาษีที่หักตรงกับที่ถูกหักจริง เพื่อจะนำไปเครดิตตอนยื่นภาษีได้ถูกต้อง
กันเงินส่วนหนึ่งไว้จ่ายภาษี เมื่อมีรายได้เข้ามา ควรแบ่งเก็บสำรองไว้สำหรับจ่ายภาษีสิ้นปีเสมอ (เช่น 5-10% ของรายได้ เผื่อไว้ประมาณการภาษี) จะได้ไม่เดือดร้อนเงินสดช่วงที่ต้องชำระภาษีก้อนใหญ่
รายได้ถึงเกณฑ์ให้รีบจด VAT หากใกล้แตะ 1.8 ล้านบาท ให้เตรียมตัวทันที การจด VAT ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และเป็นหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ การอยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้องจะทำให้คุณทำธุรกิจได้อย่างมั่นใจและโปร่งใส ซึ่งในระยะยาวเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์คุณเอง
หวังว่า คู่มือภาษีสำหรับ Influencer ฉบับย่อและเป็นกันเองนี้จะช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์มือใหม่เข้าใจเรื่องภาษีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีเงินได้ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือ VAT เมื่อเราจัดการภาษีอย่างถูกต้อง ครบถ้วนตามกำหนด คุณก็จะสบายใจสร้างคอนเทนต์ดี ๆ ต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลภาระภาษีย้อนหลังอีก
ดาวโหลดคู่มือภาษีสำหรับ Influencer ของกรมสรรพากรได้ที่นี่ ดาวโหลด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) สำหรับ Influencer เกี่ยวกับภาษี
เป็น Influencer ต้องเสียภาษีไหม ถ้าไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท?
ต้องเสียครับ ถ้ารายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น คนโสดมีรายได้เกิน 60,000 บาท/ปี ต้องยื่นภาษีแม้ไม่เป็นพนักงานประจำ
รายได้จาก TikTok, YouTube หรือ Shopee ถือเป็นเงินได้ประเภทไหน?
ส่วนใหญ่จัดเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (ธุรกิจ/การค้า/พาณิชย์) หรือประเภทที่ 2 แล้วแต่ลักษณะรายได้
ต้องจด VAT ไหม ถ้ายังไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี?
ยังไม่ต้องจดครับ เว้นแต่คุณจะสมัครใจจดเองล่วงหน้า แต่ถ้าเกิน 1.8 ล้านเมื่อใด ต้องจดภายใน 30 วัน
ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ต้องทำยังไง?
ขอใบหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) เก็บไว้ใช้เป็นเครดิตลดภาษีตอนยื่นภาษีสิ้นปีได้
Influencer ที่รายได้เยอะ ควรจดบริษัทไหม?
หากรายได้สูงต่อเนื่อง มีทีมงาน หรืออยากวางแผนภาษีอย่างเป็นระบบ ควรพิจารณาจดนิติบุคคล
ถ้าลืมยื่นภาษี หรือไม่จด VAT จะเป็นอะไรไหม?
เสี่ยงโดนเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ควรยื่นให้ตรงเวลา



